(จาก Jacob’s Journey)
..คืนวันสั้นลงทุกที แต่แถวยาวเหยียดหน้าบ้านโจเซฟไม่ได้สั้นลงเลย ตอนนี้ทุกคนต่างใส่ชื่อเจค็อบเข้าไปในรายการของที่ต้องซื้อจากตลาด
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะพูดกับเจค็อบเป็นคนแรกให้ได้ ถลึงตาใส่คนอื่นพลางท้าเจค็อบให้ตอบคำถามของเขา
“เพราะข้าไปโกหกเรื่องคนอื่นเข้า ใครๆ ในหมู่บ้านนี้เลยพากันเรียกข้าว่าหัวขโมย ท่านว่าข้าสมควรจะถูกลงโทษแบบเดียวกับหัวขโมยอย่างนั้นหรือ”
“ไม่หรอก” เจค็อบตอบแบบแทบจะไม่ใส่ใจเลย
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าก็บอกพวกเขาอย่างนั้นแหละ” ชายผู้นั้นพูดพร้อมกับชูหัวแม่โป้งให้ฝูงชนที่อยู่ข้างหลังตน
“โทษของท่านควรจะหนักกว่านั้น” คำพูดของเจค็อบทำให้ผู้ถามถึงกับผงะ เขาพรั่งพรูคำสบถออกมาไม่หยุดยั้ง แต่เจค็อบก็ยังพูดต่อไป “มันเป็นอย่างนี้ หัวขโมยอาจจะถูกบังคับให้เอาของที่ขโมยไปมาคืนได้ แต่เมื่อท่านพูดโกหก คนที่อยู่รายรอบไม่อาจถูกบังคับให้นำสิ่งที่ได้ยินมาคืนได้ เหมือนกับที่เราไม่อาจนำสิ่งที่เราเห็นมาคืนได้ ฉันใดก็ฉันนั้น”
“แต่ข้าไม่ได้พูดโกหกกับทุกคนนี่”
“ในเมล็ดพันธุ์แห่งการกล่าวเท็จ” เจค็อบพูด “ก็คือป่าไม้แห่งความหลอกลวง ร่มเงาของมันแผ่คลุมไปถึงแม้กระทั่งผู้คนที่ไม่ได้ยินคำพูดอันไม่จริงนั้น”
(Jacob’s Journey การเดินทางของเจค็อบ เขียนโดย โนอาร์ เบนชี แปลโดย ฐิติมา สุทธิวรรณ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, หน้า 82)
17.4.13
17.1.13
my eyes are dry
What I did for love
ถ้ามันเคยเป็น 9 แล้วเหลือแค่ 6 ก็คิดซะว่ามันเป็นแค่เรื่องตลกของมูลค่า เขียนออกมายังเหมือนเดิม ลากเส้นเท่าเดิมแค่สลับด้านก็เท่านั้น ตัวเอกในละคร A Chorus line เดินมาตบหัวทิ่มฝากคำถามไว้ให้คิดว่าถ้าวันนึงไม่สามารถทำสิ่งที่รักได้แล้วจะเป็นอย่างไร แทบจะทันทีเราตอบว่า "ใครจะรอให้มีวันนั้น" หรือถ้ามันยืนยันจะมีวันที่แย่ขนาดนั้นให้ได้จริงๆ จะยิ้มหวานรับ เมื่อวันนั้นมาถึงแล้วบอกมันว่าเราได้ทำไปหมดแล้ว,,,
Just wish me luck, the same to you.
But I can't regret what I did for love,,
22.9.12
May it be my last day,,,
ทุกคนรู้จักฉัน ทุกคนมองและยิ้มให้... แล้วทำไมยังเหงา
ยังต้องการมีอะไรอีกหรือเรา... และมันจะดีกว่านี้หรือเปล่า
ฉันได้ยินคำหวาน ทุกถ้อยคำที่ชื่นชม... แต่ยังมีความขื่นขมในใจ
ต่อจากนี้ต้องวนเวียนเท่าไหร่... แล้วฉันจึงจะพบ
หรือว่ามันไม่ใช่เลย...
4.5.12
ข้าวซอย
กำลังมีความสนใจตามรอยอาหาร อาศัยยืมแรงบันดาลใจจากบทความของพี่ผู้ชักนำ(ปรากฎเป็นบทความในเบื้องล่าง) จะไม่เยิ่นเย่อให้เสียเวลาขอถือบทความถัดจากนี้เป็นบทเกริ่นนำเพื่อการสืบเสาะและถกเถียงในวาระถัดไป เริ่มไปแล้วอย่างเผลอตัว...
ประวัติข้าวซอย
(ณริสสร สมสวัสดิ์)
เป็นความสงสัยส่วนตัวมานานแล้วว่าข้าวซอยนั้นมีที่มาจากที่ใด ที่สงสัยก็เพราะลักษณะและเครื่องปรุงนั้นแตกต่างจากอาหารชาวไทยล้านนาโบราณโดยสิ้นเชิงนับตั้งแต่ กะทิ ไปจนถึงบะหมี่เส้นแบนๆ ที่เรียกกันว่าเส้นข้าวซอย หน่ำซ้ำข้าวซอยเก่าแก่หลายเจ้าในเชียงใหม่ก็มักทำโดยชาวมุสลิม และติดป้ายอาหารฮาลาลซะหยั่งงั้น แบบที่ว่าไม่เคยเห็นอาหารเหนืออื่นไดที่ได้รับเกียรติในลักษณะเดียวกัน เคยสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ว่าได้กินข้าวซอยตั้งแต่รุ่นปู่ย่า หรือมีกันมาเป็นร้อยปีแล้วหรือไม่ส่วนใหญ่ก็ส่ายหน้าเพราะเท่าที่หลายคนจำได้ข้าวซอยก็ไม่ได้มีมานานขนาดนั้น หรือออกไปชนบทนอกตัวเมืองก็หาข้าวซอยกินยากมากหรือถ้ามีก็ทำไม่ครบสูตรและไม่อร่อย สรุปเอาง่ายๆว่าเป็นที่นิยมและเป็นสูตรเฉพาะของคนในเมืองมากกว่า
ลองสืบค้นดูจึงพอได้ความว่าข้าวซอยนั้นเป็นอาหารของชาวสิบสองปันนา และอาจแพร่หลายขึ้นไปจนถึงยูนนาน และแพร่หลายเข้าสู่ล้านนาตั้งแต่ในยุคที่ล้านนามีการทำการค้ากับจีนยูนนานผ่านพ่อค้าชาวจีนฮ่อ หรือที่เรียกว่าจีนมุสลิมโดยในช่วงกว่าร้อยปีที่แล้วพ่อค้าเหล่านี้เดินทางมาค้าขายกับล้านนาปีละ 1 ครั้ง และเลิกค้ากับล้านนาไปเมื่อราว 70-80 ปีที่ผ่านมานี้เองหลังมีการสร้างเส้นทางรถไฟขึ้นมาเชียงใหม่ปี2464 และมีการตัดถนนขึ้นสู่ภาคเหนือในช่วงหลังปี2490 เราหันไปค้าขายกับกรุงเทพแทนและการค้าเส้นทางดังกล่าวหมดบทบาทไป
อย่างไรก็ดีร่องรอยของคนเหล่านี้ก็ยังคงมีให้เห็นในล้านนามากมายนับตั้งแต่ชาวฮ่อที่อพยพมาตั้งรกรากในเชียงใหม่และจังหวัดอื่นๆในภาคเหนือไปจนถึงข้าวซอย อย่างไรก็ตามข้าวซอยของชาวฮ่อนั้นก็ยังไม่ใช่ข้าวซอยในแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันกล่าวคือมิได้ใส่กะทิ แต่ความเข้มข้นของน้ำซุปจะได้จากถั่วหมักและน้ำพริก ข้าวซอยในรูปแบบนี้ยังคงมีในปัจจุบันแต่เรียกว่าข้าวซอยฮ่อ หรือบ้างก็เรียกข้าวซอยสิบสองปันนา แล้วข้าวซอยที่ฮิตๆของเรามาจากไหน??
ข้าวซอยฮ่อ
ออกตัวก่อนว่าข้อสรุปนี้อาจไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็น แต่พิจารณาดูแล้วสันนิษฐานว่า ในช่วง 80-90 ปีที่ผ่านมาชาวมุสลิมจากภาคกลางของไทยได้อพยพขึ้นมายังภาคเหนือของไทย และเข้าใจว่าคงมีการปรับปรุงข้าวซอย อาหารของจีนมุสลิมเข้ากับก๋วยเตี๋ยวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวแขกแบบมุสลิมในภาคกลาง เหตุที่ทำให้คิดดังนี้ก็เพราะ ทั้งก๋วยเตี๋ยวแกงและข้าวซอยต่างมีส่วนผสมแล้วรสชาติที่ใกล้เคียงกันอย่างมาก ทั้งการใช้ผงกระหรี่ พริกแกง ขิง และกะทิ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังพบว่าร้านขายข้าวซอยหลายแห่งในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงยังมีการขายก๋วยเตี๋ยวแกงควบคู่ไปกับการขายข้าวซอย
ก๋วยเตี๋ยวแกง
จากที่ว่ามาทั้งหมดน่าจะได้ข้อสรุปว่าข้าวซอยนี้เรานำเข้ามาจากต่างแดน แต่ปรับปรุงสูตรใหม่เกือบทั้งหมดในล้านนานี่เอง เข้าใจว่าน่าจะในเชียงใหม่หรือลำปางซึ่งเป็นแถบที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่มาก จนเกิดเป็นอาหารรสเข้มถูกใจใครหลายคน ทั้งเป็นหน้าตาของเมืองเหนือที่สะท้อนถึงการเป็นเมืองสิบสองภาษา หรือเมืองที่มีผู้คนหลากหลายชาติพันธ์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...
ประวัติข้าวซอย
(ณริสสร สมสวัสดิ์)
เป็นความสงสัยส่วนตัวมานานแล้วว่าข้าวซอยนั้นมีที่มาจากที่ใด ที่สงสัยก็เพราะลักษณะและเครื่องปรุงนั้นแตกต่างจากอาหารชาวไทยล้านนาโบราณโดยสิ้นเชิงนับตั้งแต่ กะทิ ไปจนถึงบะหมี่เส้นแบนๆ ที่เรียกกันว่าเส้นข้าวซอย หน่ำซ้ำข้าวซอยเก่าแก่หลายเจ้าในเชียงใหม่ก็มักทำโดยชาวมุสลิม และติดป้ายอาหารฮาลาลซะหยั่งงั้น แบบที่ว่าไม่เคยเห็นอาหารเหนืออื่นไดที่ได้รับเกียรติในลักษณะเดียวกัน เคยสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ว่าได้กินข้าวซอยตั้งแต่รุ่นปู่ย่า หรือมีกันมาเป็นร้อยปีแล้วหรือไม่ส่วนใหญ่ก็ส่ายหน้าเพราะเท่าที่หลายคนจำได้ข้าวซอยก็ไม่ได้มีมานานขนาดนั้น หรือออกไปชนบทนอกตัวเมืองก็หาข้าวซอยกินยากมากหรือถ้ามีก็ทำไม่ครบสูตรและไม่อร่อย สรุปเอาง่ายๆว่าเป็นที่นิยมและเป็นสูตรเฉพาะของคนในเมืองมากกว่า
ลองสืบค้นดูจึงพอได้ความว่าข้าวซอยนั้นเป็นอาหารของชาวสิบสองปันนา และอาจแพร่หลายขึ้นไปจนถึงยูนนาน และแพร่หลายเข้าสู่ล้านนาตั้งแต่ในยุคที่ล้านนามีการทำการค้ากับจีนยูนนานผ่านพ่อค้าชาวจีนฮ่อ หรือที่เรียกว่าจีนมุสลิมโดยในช่วงกว่าร้อยปีที่แล้วพ่อค้าเหล่านี้เดินทางมาค้าขายกับล้านนาปีละ 1 ครั้ง และเลิกค้ากับล้านนาไปเมื่อราว 70-80 ปีที่ผ่านมานี้เองหลังมีการสร้างเส้นทางรถไฟขึ้นมาเชียงใหม่ปี2464 และมีการตัดถนนขึ้นสู่ภาคเหนือในช่วงหลังปี2490 เราหันไปค้าขายกับกรุงเทพแทนและการค้าเส้นทางดังกล่าวหมดบทบาทไป
อย่างไรก็ดีร่องรอยของคนเหล่านี้ก็ยังคงมีให้เห็นในล้านนามากมายนับตั้งแต่ชาวฮ่อที่อพยพมาตั้งรกรากในเชียงใหม่และจังหวัดอื่นๆในภาคเหนือไปจนถึงข้าวซอย อย่างไรก็ตามข้าวซอยของชาวฮ่อนั้นก็ยังไม่ใช่ข้าวซอยในแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันกล่าวคือมิได้ใส่กะทิ แต่ความเข้มข้นของน้ำซุปจะได้จากถั่วหมักและน้ำพริก ข้าวซอยในรูปแบบนี้ยังคงมีในปัจจุบันแต่เรียกว่าข้าวซอยฮ่อ หรือบ้างก็เรียกข้าวซอยสิบสองปันนา แล้วข้าวซอยที่ฮิตๆของเรามาจากไหน??
ข้าวซอยฮ่อ
ออกตัวก่อนว่าข้อสรุปนี้อาจไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็น แต่พิจารณาดูแล้วสันนิษฐานว่า ในช่วง 80-90 ปีที่ผ่านมาชาวมุสลิมจากภาคกลางของไทยได้อพยพขึ้นมายังภาคเหนือของไทย และเข้าใจว่าคงมีการปรับปรุงข้าวซอย อาหารของจีนมุสลิมเข้ากับก๋วยเตี๋ยวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวแขกแบบมุสลิมในภาคกลาง เหตุที่ทำให้คิดดังนี้ก็เพราะ ทั้งก๋วยเตี๋ยวแกงและข้าวซอยต่างมีส่วนผสมแล้วรสชาติที่ใกล้เคียงกันอย่างมาก ทั้งการใช้ผงกระหรี่ พริกแกง ขิง และกะทิ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังพบว่าร้านขายข้าวซอยหลายแห่งในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงยังมีการขายก๋วยเตี๋ยวแกงควบคู่ไปกับการขายข้าวซอย
ก๋วยเตี๋ยวแกง
จากที่ว่ามาทั้งหมดน่าจะได้ข้อสรุปว่าข้าวซอยนี้เรานำเข้ามาจากต่างแดน แต่ปรับปรุงสูตรใหม่เกือบทั้งหมดในล้านนานี่เอง เข้าใจว่าน่าจะในเชียงใหม่หรือลำปางซึ่งเป็นแถบที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่มาก จนเกิดเป็นอาหารรสเข้มถูกใจใครหลายคน ทั้งเป็นหน้าตาของเมืองเหนือที่สะท้อนถึงการเป็นเมืองสิบสองภาษา หรือเมืองที่มีผู้คนหลากหลายชาติพันธ์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...
7.9.11
ทอดถอน (18 มีนา 2011)
กำลังนั่งเล่นเพลิน เพลิน แล้วดันเหวี่ยงสายตาไปเห็น
ตู้ปลาขนาดใหญ่ภายในมีปลามังกร ว่ายวนเล่นอย่างเย็นใจ สีหน้าท่าทางดูสง่า
น่าเกรงขาม ไม่รู้ในสัตว์น้ำเรียกกันว่าอย่างไร สำหรับมนุษย์อย่างชาวเรา
คำว่า "องอาจ" น่าจะถ่ายทอดอากัปกิริยาออกมาได้ตรงถ้อย ที่สุดแล้ว
ส่วนตัวคิดว่าเจ้าปลาคงชอบมากกว่าคำว่า "สง่า"
(ที่เคยใช้ไปแล้วในบรรทัดต้นๆ
ทั้งยังเคยได้ยินหลายคนใช้วิเศษนี้ขยายภาพลักษณ์ของสัตว์ นานาชนิด)
ก็นะเจ้า "สง่า" มักเขียนวลีตามว่า "ผ่าเผย"
หากเราเป็นเจ้าปลาได้ฟังรู้คงสะดุ้งใจพิลึก
ในขณะที่กำลังเจริญ ตา(เพียงอย่างเดียว)กับการว่ายไปมาอย่างองอาจ สายตาข้าพเจ้าก็ลดต่ำลงมาตรงมุมขอบตู้ กระดาษใบไม่เล็กถูกพิมพ์ขึ้นอย่างตั้งใจ เคลือบด้วยลามิเนตอย่างดี บรรจงจูบแนบชิดติดกับกระจกที่กั้นระหว่างข้าพเจ้ากับเจ้าปลามังกร
รกตาหรือ? ปล่าวเลย
ออกแบบแย่งั้นรึ? ก็ไม่ถึงขั้นนั้น
เพียง แต่แค่รู้สึกแปลกและคิดว่าเดิมควรจะถูกพิมพ์ว่า "กรุณาอย่าจับตู้ปลา" หรือไม่ก็ "อย่าเคาะกระจกเดี๋ยวปลาตกใจ" มิใช่หรือ ควรจะเป็นข้อความในท่วงทำนองของการดูแล เอาใจใส่ ปกป้องแสดงออกซึ่งความหวงแหนในสัตว์เลี้ยงราคาแพง ในเพื่อนคลายเหงามิใช่หรือ ข้อความที่ปรากฎสะกิดเตือนให้นึกถึงหลักภาษา แต่ข้าพเจ้าว่ามันชัดเจนเกินไปที่จะอ่านผิด ถ้าอย่างนั้นคงต้องจับใจความกันที่เจตนา
ข้อความสามบรรทัดนั้นแสดง เจตนาชัดว่าอยากจะสื่อสารกับผู้อื่นหาใช่เจ้าปลาราคาแพง ปลามังกรตัวนั้นที่วัน วัน มีแต่ว่ายโชว์ความองอาจ จะมีโอกาสอันใดเล่าที่จะเข้าถึงสารที่ถูกนำมาแปะประกาศ หนทางที่จะได้เห็นว่ายากแล้ว การทำความเข้าใจยิ่งเป็นไปไม่ได้ แอบคิดในทีว่าถ้ามันอ่านออกก็คงไม่อยากเห็นอยู่ดี ตรงนี้กระมังที่ข้าพเจ้าใจหาย อารมณ์ประมาณถึงเข้าใจความหมายก็รับไม่ได้ด้วยความรู้สึก ข้าพเจ้าทอดสายตาเนิบช้าเหลือบมองอีกคราแบบชัดๆ
"ขายปลามังกร 250,000
พร้อมตู้+อุปกรณ์
ติดต่อ 08-xxxx-xxxx"
ถูก เพื่อนรัก ,คู่ชีวิต ,คนดูแล มาลอบตีจาก ประกาศอย่างจะแจ้ง ผู้ที่จะได้รับรู้เป็นสุดท้ายคือตัวมันนั่นเอง ถึงอย่างนั้นถามใจข้าพเจ้า ก็คงทำเช่นมัน เมินใส่ความรู้สึกสูญเสียนั้นหรือ หาใช่ไม่ เแต่เพียงทำตามในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดจนถึงที่สุด คือได้แค่ว่ายต่อไปอย่างองอาจ คาดหวังความเสียดายในวาระสุดท้าย และหรือความเสียใจเมื่อจากไปแล้วให้หวนคนึง ความเศร้าที่คะเนคงไม่บังเกิด เพราะปลาไม่ใช่รู้ภาษาคน ข้าพเจ้าที่เหมือนสุขดีอยู่ทุกวันจะต่างอันใดกันเล่า เมื่อไม่มีวันจะเข้าถึงจิตใจเจ้าของ ดั่งเช่นปลาไม่รู้ภาษามนุษย์
ฤๅตอนนี้หน้าตู้ของฉันก็มีกระดาษแบบเดียวกันแปะอยู่...
ในขณะที่กำลังเจริญ ตา(เพียงอย่างเดียว)กับการว่ายไปมาอย่างองอาจ สายตาข้าพเจ้าก็ลดต่ำลงมาตรงมุมขอบตู้ กระดาษใบไม่เล็กถูกพิมพ์ขึ้นอย่างตั้งใจ เคลือบด้วยลามิเนตอย่างดี บรรจงจูบแนบชิดติดกับกระจกที่กั้นระหว่างข้าพเจ้ากับเจ้าปลามังกร
รกตาหรือ? ปล่าวเลย
ออกแบบแย่งั้นรึ? ก็ไม่ถึงขั้นนั้น
เพียง แต่แค่รู้สึกแปลกและคิดว่าเดิมควรจะถูกพิมพ์ว่า "กรุณาอย่าจับตู้ปลา" หรือไม่ก็ "อย่าเคาะกระจกเดี๋ยวปลาตกใจ" มิใช่หรือ ควรจะเป็นข้อความในท่วงทำนองของการดูแล เอาใจใส่ ปกป้องแสดงออกซึ่งความหวงแหนในสัตว์เลี้ยงราคาแพง ในเพื่อนคลายเหงามิใช่หรือ ข้อความที่ปรากฎสะกิดเตือนให้นึกถึงหลักภาษา แต่ข้าพเจ้าว่ามันชัดเจนเกินไปที่จะอ่านผิด ถ้าอย่างนั้นคงต้องจับใจความกันที่เจตนา
ข้อความสามบรรทัดนั้นแสดง เจตนาชัดว่าอยากจะสื่อสารกับผู้อื่นหาใช่เจ้าปลาราคาแพง ปลามังกรตัวนั้นที่วัน วัน มีแต่ว่ายโชว์ความองอาจ จะมีโอกาสอันใดเล่าที่จะเข้าถึงสารที่ถูกนำมาแปะประกาศ หนทางที่จะได้เห็นว่ายากแล้ว การทำความเข้าใจยิ่งเป็นไปไม่ได้ แอบคิดในทีว่าถ้ามันอ่านออกก็คงไม่อยากเห็นอยู่ดี ตรงนี้กระมังที่ข้าพเจ้าใจหาย อารมณ์ประมาณถึงเข้าใจความหมายก็รับไม่ได้ด้วยความรู้สึก ข้าพเจ้าทอดสายตาเนิบช้าเหลือบมองอีกคราแบบชัดๆ
"ขายปลามังกร 250,000
พร้อมตู้+อุปกรณ์
ติดต่อ 08-xxxx-xxxx"
ถูก เพื่อนรัก ,คู่ชีวิต ,คนดูแล มาลอบตีจาก ประกาศอย่างจะแจ้ง ผู้ที่จะได้รับรู้เป็นสุดท้ายคือตัวมันนั่นเอง ถึงอย่างนั้นถามใจข้าพเจ้า ก็คงทำเช่นมัน เมินใส่ความรู้สึกสูญเสียนั้นหรือ หาใช่ไม่ เแต่เพียงทำตามในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดจนถึงที่สุด คือได้แค่ว่ายต่อไปอย่างองอาจ คาดหวังความเสียดายในวาระสุดท้าย และหรือความเสียใจเมื่อจากไปแล้วให้หวนคนึง ความเศร้าที่คะเนคงไม่บังเกิด เพราะปลาไม่ใช่รู้ภาษาคน ข้าพเจ้าที่เหมือนสุขดีอยู่ทุกวันจะต่างอันใดกันเล่า เมื่อไม่มีวันจะเข้าถึงจิตใจเจ้าของ ดั่งเช่นปลาไม่รู้ภาษามนุษย์
ฤๅตอนนี้หน้าตู้ของฉันก็มีกระดาษแบบเดียวกันแปะอยู่...
26.8.11
ความเป็นไทย
"ผมอยากจะเดาด้วยว่า ความเป็นไทยที่ถูกท้าทายนี้กระทบต่อชนชั้นนำยิ่งกว่าใคร เพราะบทบาทที่เคยกุมการนิยามความเป็นไทยหลุดจากมือชนชั้นนำไปอย่างฉับพลัน คล้ายกับอะไรที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คืออำนาจนำในการนิยามความเป็นไทย ตกไปอยู่ในมือของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย, อักขรวิธี, การพูดจา, และศิลปะการแสดง แต่ครั้งนี้คนที่แย่งชิงการนิยามความเป็นไทยไปกลับเป็นคนไร้หัวนอนปลายตีน..."
นิธิ เอียวศรีวงศ์
23 สิงหาคม พ.ศ. 2554
By : matichon.co.th
By : matichon.co.th
ปล.(ส่วนตัว) อยากให้ไปติดตามอ่านฉบับเต็ม ความเข้มข้นในตอนท้ายชวนให้ตบเข่าฉาด และหัวร่อออกมาอย่างท่าทีของชนชั้นสูง(ผู้ขาดสามัญสำนึกในกำพืด)
Subscribe to:
Posts (Atom)