(จาก Jacob’s Journey)
..คืนวันสั้นลงทุกที แต่แถวยาวเหยียดหน้าบ้านโจเซฟไม่ได้สั้นลงเลย ตอนนี้ทุกคนต่างใส่ชื่อเจค็อบเข้าไปในรายการของที่ต้องซื้อจากตลาด
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะพูดกับเจค็อบเป็นคนแรกให้ได้ ถลึงตาใส่คนอื่นพลางท้าเจค็อบให้ตอบคำถามของเขา
“เพราะข้าไปโกหกเรื่องคนอื่นเข้า ใครๆ ในหมู่บ้านนี้เลยพากันเรียกข้าว่าหัวขโมย ท่านว่าข้าสมควรจะถูกลงโทษแบบเดียวกับหัวขโมยอย่างนั้นหรือ”
“ไม่หรอก” เจค็อบตอบแบบแทบจะไม่ใส่ใจเลย
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าก็บอกพวกเขาอย่างนั้นแหละ” ชายผู้นั้นพูดพร้อมกับชูหัวแม่โป้งให้ฝูงชนที่อยู่ข้างหลังตน
“โทษของท่านควรจะหนักกว่านั้น” คำพูดของเจค็อบทำให้ผู้ถามถึงกับผงะ เขาพรั่งพรูคำสบถออกมาไม่หยุดยั้ง แต่เจค็อบก็ยังพูดต่อไป “มันเป็นอย่างนี้ หัวขโมยอาจจะถูกบังคับให้เอาของที่ขโมยไปมาคืนได้ แต่เมื่อท่านพูดโกหก คนที่อยู่รายรอบไม่อาจถูกบังคับให้นำสิ่งที่ได้ยินมาคืนได้ เหมือนกับที่เราไม่อาจนำสิ่งที่เราเห็นมาคืนได้ ฉันใดก็ฉันนั้น”
“แต่ข้าไม่ได้พูดโกหกกับทุกคนนี่”
“ในเมล็ดพันธุ์แห่งการกล่าวเท็จ” เจค็อบพูด “ก็คือป่าไม้แห่งความหลอกลวง ร่มเงาของมันแผ่คลุมไปถึงแม้กระทั่งผู้คนที่ไม่ได้ยินคำพูดอันไม่จริงนั้น”
(Jacob’s Journey การเดินทางของเจค็อบ เขียนโดย โนอาร์ เบนชี แปลโดย ฐิติมา สุทธิวรรณ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, หน้า 82)
No comments:
Post a Comment