ข้าพเจ้าถูกห้อมล้อมด้วยความพยายามของคนหลายคน
คนสำคัญที่เป็นทั้งผู้ร่วมงาน ,พาร์ทเนอร์ ,คู่หู ,คนรักและคนเคยรัก ผลักดันทุกอย่าง ใส่ใจกับเราในทุกเรื่อง ไล่ไปอาบน้ำบ้างล่ะ ตีมือเวลาเผลอกัดเล็บบ้างล่ะ บางเรื่องก็ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิมจนต้องนั่งนึกอยู่นานว่า เอ เราทำอย่างที่มันพูดจริงหรอวะ บางเรื่องก็ใหญ่โต ระดับต้องจัดเวรยามเฝ้าระวังเลยก็มี การขอบคุณ ขอโทษ ไถ่ถามและลามปามไปจนถึงเล่าเรื่องแลกเปลี่ยนสิ่งที่ไปพบเจอมาในทุกเรื่องกับทุกคนเหล่านั้น เป็นสิ่งซึ่งสมควรกระทำ ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีรับฟังเรา (as me) หรือไม่ก็ตาม
สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เราเดินทางไปหลายที่ของประเทศไทย พบเจอคนใหม่ๆ และใครเดิมๆ คละเคล้ากันไป บางความสัมพันธ์เติบโตงอกเงยขึ้นด้วยการเดินทาง บางความสัมพันธ์ได้รับการเยียวยา และสมานรอยร้าว ยังอีกมากความสัมพันธ์ที่ทั้งรอ และ/หรือ ไม่คาดหวังการกลับไปปรากฎตัวของเรา บัดนี้ ข้าพเจ้าสูดหายใจลึกกักตุนแรงบันดาลใจเคล้าอายฝนต้นเดือนหกเข้าไปจนสำลักปอด จึงยินดีประกาศดังๆว่า "ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว" และจะเดินทางไปหาทุกคนอย่างตั้งใจ ไม่ว่าเจ้าของเรือนจะพร้อมต้อนรับหรือไม่ก็ตาม
มิกะมิสยูววววว
11.6.15
3.6.15
เวลาที่เป็นเอามาก นี่เป็นเอามากจริงๆ
1
มันเป็นร้านหนังสือที่ไม่พิถีพิถันกับอะไรเลย นอกจากหนังสือและกาแฟ กรุณาลืมภาพร้านหรูหราบรรยากาศชวนนั่งจิบกาแฟ มีบริกรหน้าตาจิ้มลิ้มไปก่อนสักครู่ ร้านนี้มีเพียงชั้นหนังสือ วางเรียงเบียดกันตรงทางก่อนถึงห้องน้ำ หนังสือหลากหลายแนวเข้าแถวเรียงกัน ไม่ถึงกับเป็นระเบียบ แต่มันมากไปด้วยความตั้งใจของคนจับวาง หนังสือแต่ละเล่มดูมีชีวิตชีวา ราวกับเป็นเด็กอนุบาลรอผู้ปกครองมารับ เอาจริงๆนะ ถ้ามันจะฟังดูกระแดะไปเยอะ ก็เพราะจริตมันฟ้องมาอย่างนั้นจริงๆ
2
มันเป็นวันจันทร์ คุณคงไม่รู้หรอกว่ามันยากแค่ไหนในการหาที่นั่งในร้านแบบนี้ โดยเฉพาะวันจันทร์ อ้อ คุณอาจเข้าใจมันได้ง่ายขึ้น ถ้าคุณเป็นหรือเคยเป็นมนุษย์ผู้อ่อนล้าจากวันหยุด ต้องการเคมีบางอย่างมาพยุงร่าง รับวันทำงานวันแรกของสัปดาห์
ขณะที่ก้าวเท้าเข้าร้าน โต๊ะเกือบทุกชุดมีเจ้าของไปแล้ว ผมใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อส่ายสายตาหาเก้าอี้ที่ดูจะยังว่าง แล้วตรงดิ่งเข้าไปหย่อนร่างลงประทับทันที
"รับอะไรดีครับ" บริกรหนุ่มชิงถาม
เราทิ้งคำถามน้องบริกร ค้างไว้กลางอากาศสามวินาที แล้วเอาสามวินาทีนั้นไปพิจารณาเมนู เลือก "อเมริกาโน" มาเป็นคำตอบ
"ร้อนหรือเย็นดีครับ ผมแนะนำว่า ถ้าร้อนควรนั่งห่างหน้าต่างเพราะแดดแรง แต่ถ้าจะสั่งเย็นผมเกรงว่าจะนานไป เวลานี้ก็เพิ่งจะเป็นช่วงสายของวันเอง"
--- ผมเล่าอะไรตกไปสินะ ความกวนประสาทของเจ้าของร้านยันบริกร เป็นทั้งของแถม(ที่ไม่เคยสั่ง) และเอกลักษณ์(ที่ไม่ค่อยน่ารักตามหน้าตาผู้ยิงมุก)---
ผมชักสีหน้าเล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับไปว่า
"เอาร้อนๆเลยนะ จะเอามาสาดพนักงาน"
เจ้าหนุ่มจึงกระวีกระวาดไปชงได้เสียที
3
เธอจอดรถสีขาวคันใหญ่ที่ฟากตรงข้าม ริมถนนนั้นมีต้นไม้สูงตระหง่านพอจะเป็นร่มให้รถเธอไม่ต้องเผชิญกับแดดโดยตรง ถนนขนาดสองเลนธรรมดา ไม่ได้กว้างไปกว่าคลองแถวบ้านสักเท่าไหร่ ผมจ้องมองเธอจากระยะไกล มันไม่ได้ไกลตามระยะทาง ที่รู้สึกว่าห่างคงเพราะความรู้สึก (อะไรก็ตามมักจะดูห่างไกลเสมอ เวลาที่เราไม่รู้สึกถึง) จากประตูรถเธอถึงเคาเตอร์ ทุกอากัปกิริยาของเธอไม่หลุดไปจากคลองสายตาของผมเลย แต่ตอนนี้ เธอหยุดเคลื่อนไหวแล้ว!!! เหลือเพียงริมฝีปากบางสีนู้ดโทน ขยับทักทายกับบริกรพร้อมสั่งเครื่องดื่ม หูผมหยุดทำงานไปตั้งแต่สายตาเริ่มจับความเคลื่อนไหวของเธอได้ ดังนั้นเรื่องที่ว่าเธอสั่งอะไรดื่มนั้น ผมบกพร่องไปโดยสุจริต แต่จู่ๆ หูผมกลับมาทำงานอีกครั้งโดยไม่ต้องไปหาหมอรักษา ยาขนานแรงนั้นคือเสียงของหล่อน...
4.6.13
ทดลองๆๆๆ
รายงานการทดลอง
ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังทดลองผลิตไส้ขนมรส "โอเลี้ยง" อะไรมันจะ เวรี่ไทย (very Thai) ขนาดนั้น แน่นอนว่าไม่ง่ายเลยสักนิด เมื่อคืนลองไปสามแบบออกมาพอใช้ได้แค่แบบเดียว สนุกดีนะแต่เหนื่อยชะมัดเหล่าครูบาอาจารย์ที่สอนทำขนมทั้งหลายครับ การบอกสูตรเนี่ยดีมากเลยนะชื่นชมวงการขนมไทยที่แบ่งปันกันขนาดนี้ แต่มันมีไอ้ที่อยากได้มากกว่าสูตรน่ะครับ อยากรู้ที่มาที่ไปทำไมต้องใช้แป้งตัวนี้ ทำไมต้องเอาไปผสมกับครีมตัวนั้น แล้วอะไรจับคู่กับอะไรจะได้ผลยังไงบ้าง มันน่าสนุกกว่ามานั่งท่องจำสูตรเยอะเลยง่ะ
อยากได้ห้องเรียนแบบ ถือแอปเปิ้ลเข้าไปแล้วบอกเราว่ามันเอาไปทำอะไรได้บ้าง ครูก็บอกเรามาไล่เป็นลิสท์มาเลย ทาร์ต มัฟฟิน น้ำปั่น พาย ฯลฯ แล้วดูว่าเราสนใจจะทำอะไรก็สอนกันไปตามนั้น หรือถือผลอะไรมาสักอย่างมาแล้วถามครูว่าจะเอาไอ้นี่มาทำเป็นไส้มีกี่วิธีทำไงได้บ้าง อะไรแบบนั้น น่าสนุกดีใช่มั้ยล่ะ
ขอบคุณทุกสูครในเน็ตนะฮะ
31.5.13
อยู่โคราชมาสองสามวัน (วันนี้วันที่สาม-มาตั้งแต่คืนวันอังคาร) นอนดึกตื่นสายสลับกันไปหน้าเลยเหี่ยวลงตามสภาพ เมื่อคืนนี้รวมหัวกันเล่นไพ่หาไอเดียวาดรูป (สร้างภาพ) บทสรุปคือไม่ว่าจะได้ไพ่ดีแค่ไหน สุดท้าย เม้ ก็ชนะอยู่ดี แทนที่จะได้ทุนไปซื้อเครื่องตีไข่ขาดทุนบักโกรกเลย
ช่วงนี้ติด Series เรื่อง Hormones ของ GTH ก็แหม เล่นขนตัวโปรดมายัดลงจอพร้อมๆกันซะขนาดนั้นใครจะไม่ติดไหวครับพี่ย้ง ทั้ง ปันปัน(ลัดดาแลนด์) แพ๊ตตี้ น้องเก้า(แนะนำคนนี้มาก) น้องฝน(สาวเหล็กดัด สก๊อย ATM) แอร๊ยยยยยยยยยยยยย
ช่วงนี้ติด Series เรื่อง Hormones ของ GTH ก็แหม เล่นขนตัวโปรดมายัดลงจอพร้อมๆกันซะขนาดนั้นใครจะไม่ติดไหวครับพี่ย้ง ทั้ง ปันปัน(ลัดดาแลนด์) แพ๊ตตี้ น้องเก้า(แนะนำคนนี้มาก) น้องฝน(สาวเหล็กดัด สก๊อย ATM) แอร๊ยยยยยยยยยยยยย
17.4.13
โกหกกับขโมย
(จาก Jacob’s Journey)
..คืนวันสั้นลงทุกที แต่แถวยาวเหยียดหน้าบ้านโจเซฟไม่ได้สั้นลงเลย ตอนนี้ทุกคนต่างใส่ชื่อเจค็อบเข้าไปในรายการของที่ต้องซื้อจากตลาด
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะพูดกับเจค็อบเป็นคนแรกให้ได้ ถลึงตาใส่คนอื่นพลางท้าเจค็อบให้ตอบคำถามของเขา
“เพราะข้าไปโกหกเรื่องคนอื่นเข้า ใครๆ ในหมู่บ้านนี้เลยพากันเรียกข้าว่าหัวขโมย ท่านว่าข้าสมควรจะถูกลงโทษแบบเดียวกับหัวขโมยอย่างนั้นหรือ”
“ไม่หรอก” เจค็อบตอบแบบแทบจะไม่ใส่ใจเลย
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าก็บอกพวกเขาอย่างนั้นแหละ” ชายผู้นั้นพูดพร้อมกับชูหัวแม่โป้งให้ฝูงชนที่อยู่ข้างหลังตน
“โทษของท่านควรจะหนักกว่านั้น” คำพูดของเจค็อบทำให้ผู้ถามถึงกับผงะ เขาพรั่งพรูคำสบถออกมาไม่หยุดยั้ง แต่เจค็อบก็ยังพูดต่อไป “มันเป็นอย่างนี้ หัวขโมยอาจจะถูกบังคับให้เอาของที่ขโมยไปมาคืนได้ แต่เมื่อท่านพูดโกหก คนที่อยู่รายรอบไม่อาจถูกบังคับให้นำสิ่งที่ได้ยินมาคืนได้ เหมือนกับที่เราไม่อาจนำสิ่งที่เราเห็นมาคืนได้ ฉันใดก็ฉันนั้น”
“แต่ข้าไม่ได้พูดโกหกกับทุกคนนี่”
“ในเมล็ดพันธุ์แห่งการกล่าวเท็จ” เจค็อบพูด “ก็คือป่าไม้แห่งความหลอกลวง ร่มเงาของมันแผ่คลุมไปถึงแม้กระทั่งผู้คนที่ไม่ได้ยินคำพูดอันไม่จริงนั้น”
(Jacob’s Journey การเดินทางของเจค็อบ เขียนโดย โนอาร์ เบนชี แปลโดย ฐิติมา สุทธิวรรณ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, หน้า 82)
..คืนวันสั้นลงทุกที แต่แถวยาวเหยียดหน้าบ้านโจเซฟไม่ได้สั้นลงเลย ตอนนี้ทุกคนต่างใส่ชื่อเจค็อบเข้าไปในรายการของที่ต้องซื้อจากตลาด
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะพูดกับเจค็อบเป็นคนแรกให้ได้ ถลึงตาใส่คนอื่นพลางท้าเจค็อบให้ตอบคำถามของเขา
“เพราะข้าไปโกหกเรื่องคนอื่นเข้า ใครๆ ในหมู่บ้านนี้เลยพากันเรียกข้าว่าหัวขโมย ท่านว่าข้าสมควรจะถูกลงโทษแบบเดียวกับหัวขโมยอย่างนั้นหรือ”
“ไม่หรอก” เจค็อบตอบแบบแทบจะไม่ใส่ใจเลย
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าก็บอกพวกเขาอย่างนั้นแหละ” ชายผู้นั้นพูดพร้อมกับชูหัวแม่โป้งให้ฝูงชนที่อยู่ข้างหลังตน
“โทษของท่านควรจะหนักกว่านั้น” คำพูดของเจค็อบทำให้ผู้ถามถึงกับผงะ เขาพรั่งพรูคำสบถออกมาไม่หยุดยั้ง แต่เจค็อบก็ยังพูดต่อไป “มันเป็นอย่างนี้ หัวขโมยอาจจะถูกบังคับให้เอาของที่ขโมยไปมาคืนได้ แต่เมื่อท่านพูดโกหก คนที่อยู่รายรอบไม่อาจถูกบังคับให้นำสิ่งที่ได้ยินมาคืนได้ เหมือนกับที่เราไม่อาจนำสิ่งที่เราเห็นมาคืนได้ ฉันใดก็ฉันนั้น”
“แต่ข้าไม่ได้พูดโกหกกับทุกคนนี่”
“ในเมล็ดพันธุ์แห่งการกล่าวเท็จ” เจค็อบพูด “ก็คือป่าไม้แห่งความหลอกลวง ร่มเงาของมันแผ่คลุมไปถึงแม้กระทั่งผู้คนที่ไม่ได้ยินคำพูดอันไม่จริงนั้น”
(Jacob’s Journey การเดินทางของเจค็อบ เขียนโดย โนอาร์ เบนชี แปลโดย ฐิติมา สุทธิวรรณ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, หน้า 82)
17.1.13
my eyes are dry
What I did for love
ถ้ามันเคยเป็น 9 แล้วเหลือแค่ 6 ก็คิดซะว่ามันเป็นแค่เรื่องตลกของมูลค่า เขียนออกมายังเหมือนเดิม ลากเส้นเท่าเดิมแค่สลับด้านก็เท่านั้น ตัวเอกในละคร A Chorus line เดินมาตบหัวทิ่มฝากคำถามไว้ให้คิดว่าถ้าวันนึงไม่สามารถทำสิ่งที่รักได้แล้วจะเป็นอย่างไร แทบจะทันทีเราตอบว่า "ใครจะรอให้มีวันนั้น" หรือถ้ามันยืนยันจะมีวันที่แย่ขนาดนั้นให้ได้จริงๆ จะยิ้มหวานรับ เมื่อวันนั้นมาถึงแล้วบอกมันว่าเราได้ทำไปหมดแล้ว,,,
Just wish me luck, the same to you.
But I can't regret what I did for love,,
22.9.12
May it be my last day,,,
ทุกคนรู้จักฉัน ทุกคนมองและยิ้มให้... แล้วทำไมยังเหงา
ยังต้องการมีอะไรอีกหรือเรา... และมันจะดีกว่านี้หรือเปล่า
ฉันได้ยินคำหวาน ทุกถ้อยคำที่ชื่นชม... แต่ยังมีความขื่นขมในใจ
ต่อจากนี้ต้องวนเวียนเท่าไหร่... แล้วฉันจึงจะพบ
หรือว่ามันไม่ใช่เลย...
Subscribe to:
Posts (Atom)