Showing posts with label movie. Show all posts
Showing posts with label movie. Show all posts

5.8.16

Creature Designers - The Frankenstein Complex

“Just because you can have a hundred werewolves running across the ceiling, doesn’t mean you should.” --- Rick Baker


Creature Designers - The Frankenstein Complex (Movie - 2015)
-----------------------------------------------------------

คุณอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อใครในหนังสารคดีเรื่องนี้เลย แต่คุณต้องเคยเห็นงานของพวกเขามาก่อนแน่ ๆ (ยิ่งถ้าเคยร่วมยุค 90 มาด้วยกันล่ะก็) เอางี้นะ ยังจำฉาก T-Rex งับตัวละครที่โชคร้ายที่สุดในโลกภาพยนตร์คนนั้นได้ไหมครับ (ตายขณะปลดทุกข์) ดูกี่ทีก็คงเดาได้ไม่ยากว่าฉากนั้นทำในคอมพิวเตอร์ แต่รู้หรือเปล่าว่า ฉากที่ velociraptor ตามตัวละครเด็กเข้ามาในครัวแล้วเงยหน้าร้องเรียกพวกน่ะ ใช้คนใส่ชุดยางมาแสดงนะ
                        
Matt Winston เล่าถึงตอนที่ Jurassic Park ออกฉาย แล้วผู้คนพากันพูดถึงการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยสร้างเทคนิคต่าง ๆ ในหนัง (CGI – Computer-generated imagery) พ่อของเขากลับเกิดความรู้สึกสองอย่างพร้อม ๆ กัน อย่างแรกคือพยายามอย่างหนัก เพื่อบอกโลกว่าพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้นะ สิ่งมีชีวิตที่เห็นในนั้นก็สร้างขึ้นมาจริง ๆ ด้วยฝีมือพวกเรานะ และอย่างที่สองคือ ลงทุนกับคอมพิวเตอร์แม้ว่าจะเพิ่งรู้สึกแย่กับมันมามากแค่ไหนก็ตาม ณ เวลานั้นสิ่งที่เขาคิดมีเพียงอย่างเดียว “Adapt or die.”
                           
หนังเล่าเรื่องตาม Timeline ประวัติศาสตร์การใช้เอฟเฟคในภาพยนตร์ เฉพาะเจาะจงที่เทคนิคพิเศษในการสร้างสิ่งมีชีวิตที่ดูแปลกตาตั้งแต่ แมลง ,ไดโนเสาร์ ,ปิศาจ ,หุ่นยนต์ ไปจนมนุษย์ต่างดาว ส่วนตัวพยายามจะเลี่ยงใช้คำว่า สัตว์ประหลาด เพราะมันออกจะดูแคบไปสักหน่อยที่จะเลือกใช้แค่คำนี้ และตลอดทั้งเรื่อง เหล่านักสร้างหุ่นจากจินตนาการใช้คำเรียกผลงานของตัวเองว่า Creatures ที่สามารถใช้แทนสิ่งที่ทำขึ้น เพื่อให้มีชีวิตได้ทุกรูปแบบ จะสวยงามหรือน่าหวาดหวั่น พวกเขาก็รักมันเท่า ๆ กัน
เราสงสารและรู้สึกเศร้ามาก ๆ ตอนเห็นสายตาของลุง Phil Tippett ที่เคยถึงกับล้มป่วยเมื่อรู้ว่าตัวเอง ถูกแย่งงานโดย CGI แต่เราก็ยังเห็นร่องรอยความสุขจาก Stand Winston ทั้งที่แกปรากฏในเรื่องแค่เป็นภาพฟุตเทจ เรายิ้มและจำแกได้แม่นเพราะลุงแกดูโคตรมีความสุขเลย วิ่งเล่นกับหุ่นที่ตัวเองสร้างอย่างกับเด็กเห่อของ และไม่แปลกใจที่บริษัทของแกที่ลูกชายมาสืบทอด มีที่ทางอย่างมั่นคงอยู่ในวงการ ก็อย่างที่แกเคยพูดไว้แหละ ถึงมันจะเจ็บแค่ไหนถ้าไม่ปรับตัวก็ถูกทิ้งให้ตาย เลือกเอา

หลายคนในเรื่องระบายความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ บ่นถึงความฉาบฉวยของโลกปัจจุบัน เลยไปจนถามหาความเคารพในงานศิลปะ คอมพิวเตอร์เป็นประตูบานใหม่อีกบาน เปิดโลกให้กว้างออกจากขีดจำกัดของงานสร้างแบบเดิม แต่สุดท้ายก็ยังต้องพึ่งฝีมือคน คอยคิดและกำกับทั้งทิศทาง การดำเนินเรื่อง และองค์ประกอบศิลป์ เราทุกคนต่างมีวันเวลาเป็นของตัวเอง การให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองรักนั้นต่างหาก ที่จะพาเราไปอยู่ตรงไหนสักจุดจนได้




ฉาก เวโลซีแรพเตอร์ ที่อ้างอิงถึง

https://www.youtube.com/watch?v=dnRxQ3dcaQk

28.11.15

The Lobster




ก่อนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ได้เลือกกันไว้ก่อนหรือเปล่าฮะว่าถ้าโสดเกิน 45 วัน แล้วอยากเป็นตัวอะไร ถ้าคำตอบคือไม่ คำถามถัดไปก็คือ “ขุดหลุมศพให้ตัวเองแล้วหรือยัง” “เราจะกลายเป็นตัวอะไรถ้าไม่มีคู่” คิดว่าหลายคนคงเคยเล่นคำถามปลายปิด ที่มีตัวเลือกให้แค่สองข้อ อย่าง โค้กหรือเป็ปซี่ ทะเลหรือภูเขา กลางวันหรือกลางคืน อะไรเทือกนั้น นั่นละครัชหนังแม่งเป็นแบบนั้นเลย โลกของ The Lobster มีตัวเลือกให้คุณแค่ หาคู่ให้ได้หรือกลายเป็นสัตว์!!! โสดเมื่อไหร่ เตรียมโดนเชิญไปปรับทัศนคติที่โรงแรม (The Hotel) แล้วภายใน 45 วัน ถ้าหาคู่ใหม่ไม่ได้ ก็เลือกเอาเลยว่าอยากถูกเปลี่ยนเป็นตัวอะไร แต่เดี๋ยวก่อน...หากคุณแข็งแกร่งพอ ทางโรงแรมมีทางเลือกให้คุณยังสามารถต่ออายุความโสดได้ เพียงแค่คุณต้องออก “ล่าคนโสด” (ที่ไม่ยอมเข้าไปปรับทัศนคติกับโรงแรม) ล่ามาได้กี่คน ก็ได้จำนวนวันแห่งความโสดเพิ่มไปเท่านั้น (แม่งด่าคนที่ครองความโสดนานๆ ได้โคตรเจ็บ : ถ้ามึงไม่ไร้หัวใจ ก็แข็งแกร่งเกินไปที่จะมีคู่) เล่าไปเล่ามา หนังมันทั้งถากถางและเหยียดเย้ยความโรแมนติกของการมีความสัมพันธ์ ไม่พอยังขยี้ความเขลาของเราเองที่ติดอยู่กับตัวเลือกของความรัก ที่คล้ายจะมีเพียงสองข้อ คือหาคนรักซะหรือตัดใจพ่ายแพ้ไป (ในที่นี้คือเลือกไปเกิดเป็นสัตว์ที่ชอบที่ชอบ แค่ต้องขึ้นคานโสดยังไม่สาแก่ใจสินะ) กลางเรื่องเดวิด (Colin Farrell) พาตัวเองออกจากสังคมปฏิเสธตัวเลือกที่มีให้ หาข้อเสนอที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ หนีออกไปอยู่กับกลุ่มโสด ที่ซึ่งทั้งสิ่งแวดล้อมและกติกาการอยู่ร่วม ตรงกันข้ามกับโรงแรมและสังคมในหนังทุกอย่าง จะว่าได้ทางออกหรือหนีเสือปะจระเข้นั้น เก็บไว้ไปดูเองดีกว่า หนังกวนตีนเกินกว่าจะมาเล่าสปอยล์กันดื้อๆ หลายฉากในเรื่องเหมือนเอากระจกมาส่องใส่คนดู ชวนให้เราหันมาสังเกตุปฏิกิริยาของคนรอบข้าง อย่างฉากสาธิตว่าการมีคู่มันดีอย่างไรบนเวที ก็ดูโคตรจะเป็นโฆษณาชวนเชื่อเลย เห็นหลายคนขำ เดาว่าน่าจะเพราะมันตลกด้วยการแสดงแบบ over acting และสถานการณ์ที่แม่งเหมารวมไปเลยว่ามีคู่ดีกว่าอยู่ลำพัง ส่วนตัวแล้วขำไม่ออกง่ะ ลองขำดูสิว่าชีวิตโสดมันจะอันตรายขนาดนั้นเลยหรอวะ หึ หึ ก็มันเสือกเกิดขึ้นจริงในสังคมน่ะเส่ะ (รู้จักคนแก่หลายคนอยู่ ที่เวลาอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะรู้สึกไม่สบายใจไปหมด ใส่กลอนประตูบ้านหรือยัง โจรเข้ามาสู้ไม่ไหวนะ ไฟฉายอยู่ไหน เทียนมีหรือยังเผื่อไฟดับ โอย สารพัดจะระแวง) - จริงๆ การมีความรัก มีคู่ครอง มีความสัมพันธ์ นี่มันจำเป็นจริงๆป่ะวะ ซึ่งก็ดันเสือกมีสังคมบางประเทศที่บังคับให้ต้องมีคู่อยู่จริงในปัจจุบัน เอาให้นึกออกไวไว ก็เช่น นโยบายรัฐ ประเภทส่งเสริมการมีบุตรเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรอะไรนั่น แล้วอะไรเป็นหลักฐานการมีคู่วะ เป็นคนรักกันนี่ขึ้นอยู่กับหลักฐานการเอาใจใส่ประเภทไหน แค่การดูแลจิตใจและร่างกายเพียงพอแล้วรึปล่าวที่จะเป็นคนรัก หรือต้องมีหลักฐานการเป็นคู่ครอง อย่างทะเบียนสมรสหรอ ถ้ามีแล้วไม่ดูแลกันก็ถือว่ายังเป็นคนรักป่ะอ่ะ ถามมาถามไปเหมือนการเป็นโสดให้ได้อย่างแข็งแกร่งจะดีกว่ามาก The Lobster ถือกระจกเงาส่องสะท้อนไปที่คนดูจนถึงวินาทีสุดท้าย บทสรุปที่เราได้กับตัวเอง คือ เราต่างโหยหาใครอีกคน เพียงเพื่อขับไล่ความกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว มากไปหรือเปล่า เราตกหลุมพรางของความหวาดกลัวการไร้พวกพ้องและคนข้างกาย จนยอมแรกความสุข และสิ่งต่างๆของชีวิต ไปด้วยใช่หรือไม่ ที่แท้แล้วหากเราเผชิญหน้าและยอมรับความจริง ตัวเลือกย่อมไม่ได้ถูกจำกัดแค่เท่าในภาพยนต์ จะโสดเหงาไปอีก 45 ปี หรือออกไปไฟท์กับความรัก ก็เลือกมีความสุขด้วยตัวเองได้สิวะ อย่าลืม ปล.1 : ปีนี้ได้ดูหนังที่ตัวเอกประกอบอาชีพหลากหลายมาก ทั้ง สายลับติดยา ,นักพฤกษศาสตร์ที่เป็นมนุษย์อวกาศ ,นักการตลาดที่เป็นพ่อบ้าน full time และเรื่องนี้ ที่พ่อ David แกเป็นสถาปนิก แถมโสดด้วย ปล.2 : อีเดวิดนี่แพรวพราวมากนะ จับคาแรคเตอร์คนเก่งโคตร เข้าไปจีบใครก็เข้าท่อนฮุคเลย ปล.3 : มีคู่ไม่เท่ากับสุข และอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ทุกข์เสมอไปนะครัช ปล.4 : “หันหัวไปทางซ้าย สามที”

22.9.15

‪‎Freelance‬

#‎Freelance‬
ฉากงานศพพ่อพงศธร (เพื่อนยุ่น) อาจเป็นภาพใหม่ไม่ชินตาของใครหลายคน พิธีศพแบบจีน ลูกชายคนโตจะ ป้อนข้าว ป้อนน้ำ เอาตะเกียบคีบข้าว เต้าหู้ น้ำตาลทรายแดงไปแตะริมฝีปากผู้ตาย ถือเป็นการทดแทนบุญคุณ ที่เค้าเลี้ยงดูเรามา
ทำไม นวพล ถึงเลือกฉายภาพงานศพแบบจีนในหนังของตัวเอง มากกว่างานแบบพุทธที่มีภาพจำอันชัดเจน ประเด็นทางครอบครัวนี้เราสนใจเป็นการส่วนตัว ด้วยหนังจากค่ายนี้หลายเรื่องดูมีลักษณะของผู้มีปมเกลียดพ่อ (oedipus) เช่น ความสัมพันธ์ของครอบครัวทั้งเพื่อนบ้านและตัวเอกในลัดดาแลนด์ และโดยส่วนใหญ่บทบาทตัวละครที่เป็นพ่อของ GTH มักจะเป็นพ่อแบบที่แบนราบไม่ก็ติดกับความเป็นพ่อแบบที่สังคมยัดเยียดให้ อารมณ์แบบ first fatherhood moment พยายามดัดตัวเองให้มีความเป็นพ่อ เป็นผู้นำครอบครัว ฉากงานศพนี้คล้ายจะสะท้อนให้เห็นภาพความสัมพันธ์ครอบครัวที่มีลำดับและสายใย(ผ่านพิธีกรรมแบบจีน-ซึ่งเชื่อว่าต่อให้ไม่รู้ว่าตัวละครทำอะไรอยู่ ก็ถือโอกาสสะกิดให้สงสัยและกลับไปหาคำตอบ)
ยุ่นพาตัวเองออกไปไกลจากจุดนั้น หนังคุยกับเราผ่านความคิดของยุ่น แต่ตลอดทั้งเรื่องยุ่นไม่เคยเอ่ยถึงพ่อ(เอาว่าขนาด ‪#‎พี่สุชาติ‬ ยังมีตัวตน) แม้แต่รูปถ่ายที่แม่ฝาก retouch ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับ "ภาพครอบครัว" เลย
จุดเปลี่ยนหลังจากที่ยุ่นหัวกระแทกโต๊ะแล้ว เกิดมรณานุสติระลึกได้ถึงการมีอยู่ของ "สายใย"/"ความสัมพันธ์" ที่ตัวเองมี สิ่งนั้นเหมือนเป็นตัวแทนของครอบครัวเท่าที่ยุ่นนึกออก ความสัมพันธ์ที่เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองก็ครอบครองไว้ มันเป็น connection ไม่ใช่ bonding โชคดีที่มันเป็นภาพยนตร์ และโชคดีที่ นวพล ไม่ใจร้ายจนเกินไป ยุ่นจึงยังได้ไปต่อ อาจจะก้าวข้ามบางอย่างในจิตใจของตน หันกลับมาทบทวนและหวนมองรอบๆตัวเอง แต่บางชีวิตไม่ได้ถูกกำกับโดย นวพล ถ้ามีโอกาสจงคว้าไว้ ถ้าคิดได้ไม่ว่าจะตอนไหนไม่มีสายเกินไป อย่าให้คนที่คาดหวังกับเราต้องผิดหวัง และก็อย่าให้ตัวเองต้องจบชีวิตไปลำพัง ดูแลคนใกล้ตัวอย่าให้ใครต้องกลายเป็น "ผู้ป่วยนอก(วงกลม)"
ปล.ใจแลกใจ บางเพลงเคยว่าไว้ และบางใครเคยเอ่ยถึง