3.6.15

เวลาที่เป็นเอามาก นี่เป็นเอามากจริงๆ



1
มันเป็นร้านหนังสือที่ไม่พิถีพิถันกับอะไรเลย นอกจากหนังสือและกาแฟ กรุณาลืมภาพร้านหรูหราบรรยากาศชวนนั่งจิบกาแฟ มีบริกรหน้าตาจิ้มลิ้มไปก่อนสักครู่ ร้านนี้มีเพียงชั้นหนังสือ วางเรียงเบียดกันตรงทางก่อนถึงห้องน้ำ หนังสือหลากหลายแนวเข้าแถวเรียงกัน ไม่ถึงกับเป็นระเบียบ แต่มันมากไปด้วยความตั้งใจของคนจับวาง หนังสือแต่ละเล่มดูมีชีวิตชีวา ราวกับเป็นเด็กอนุบาลรอผู้ปกครองมารับ เอาจริงๆนะ ถ้ามันจะฟังดูกระแดะไปเยอะ ก็เพราะจริตมันฟ้องมาอย่างนั้นจริงๆ

2
มันเป็นวันจันทร์ คุณคงไม่รู้หรอกว่ามันยากแค่ไหนในการหาที่นั่งในร้านแบบนี้ โดยเฉพาะวันจันทร์ อ้อ คุณอาจเข้าใจมันได้ง่ายขึ้น ถ้าคุณเป็นหรือเคยเป็นมนุษย์ผู้อ่อนล้าจากวันหยุด ต้องการเคมีบางอย่างมาพยุงร่าง รับวันทำงานวันแรกของสัปดาห์
ขณะที่ก้าวเท้าเข้าร้าน โต๊ะเกือบทุกชุดมีเจ้าของไปแล้ว ผมใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อส่ายสายตาหาเก้าอี้ที่ดูจะยังว่าง แล้วตรงดิ่งเข้าไปหย่อนร่างลงประทับทันที

"รับอะไรดีครับ" บริกรหนุ่มชิงถาม

เราทิ้งคำถามน้องบริกร ค้างไว้กลางอากาศสามวินาที แล้วเอาสามวินาทีนั้นไปพิจารณาเมนู เลือก "อเมริกาโน" มาเป็นคำตอบ

"ร้อนหรือเย็นดีครับ ผมแนะนำว่า ถ้าร้อนควรนั่งห่างหน้าต่างเพราะแดดแรง แต่ถ้าจะสั่งเย็นผมเกรงว่าจะนานไป เวลานี้ก็เพิ่งจะเป็นช่วงสายของวันเอง"

--- ผมเล่าอะไรตกไปสินะ ความกวนประสาทของเจ้าของร้านยันบริกร เป็นทั้งของแถม(ที่ไม่เคยสั่ง) และเอกลักษณ์(ที่ไม่ค่อยน่ารักตามหน้าตาผู้ยิงมุก)---

ผมชักสีหน้าเล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับไปว่า
"เอาร้อนๆเลยนะ จะเอามาสาดพนักงาน"

เจ้าหนุ่มจึงกระวีกระวาดไปชงได้เสียที

3
เธอจอดรถสีขาวคันใหญ่ที่ฟากตรงข้าม ริมถนนนั้นมีต้นไม้สูงตระหง่านพอจะเป็นร่มให้รถเธอไม่ต้องเผชิญกับแดดโดยตรง ถนนขนาดสองเลนธรรมดา ไม่ได้กว้างไปกว่าคลองแถวบ้านสักเท่าไหร่ ผมจ้องมองเธอจากระยะไกล มันไม่ได้ไกลตามระยะทาง ที่รู้สึกว่าห่างคงเพราะความรู้สึก (อะไรก็ตามมักจะดูห่างไกลเสมอ เวลาที่เราไม่รู้สึกถึง) จากประตูรถเธอถึงเคาเตอร์ ทุกอากัปกิริยาของเธอไม่หลุดไปจากคลองสายตาของผมเลย แต่ตอนนี้ เธอหยุดเคลื่อนไหวแล้ว!!! เหลือเพียงริมฝีปากบางสีนู้ดโทน ขยับทักทายกับบริกรพร้อมสั่งเครื่องดื่ม หูผมหยุดทำงานไปตั้งแต่สายตาเริ่มจับความเคลื่อนไหวของเธอได้ ดังนั้นเรื่องที่ว่าเธอสั่งอะไรดื่มนั้น ผมบกพร่องไปโดยสุจริต แต่จู่ๆ หูผมกลับมาทำงานอีกครั้งโดยไม่ต้องไปหาหมอรักษา ยาขนานแรงนั้นคือเสียงของหล่อน...

4.6.13

ทดลองๆๆๆ

รายงานการทดลอง

ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังทดลองผลิตไส้ขนมรส "โอเลี้ยง" อะไรมันจะ เวรี่ไทย (very Thai) ขนาดนั้น แน่นอนว่าไม่ง่ายเลยสักนิด  เมื่อคืนลองไปสามแบบออกมาพอใช้ได้แค่แบบเดียว สนุกดีนะแต่เหนื่อยชะมัดเหล่าครูบาอาจารย์ที่สอนทำขนมทั้งหลายครับ  การบอกสูตรเนี่ยดีมากเลยนะชื่นชมวงการขนมไทยที่แบ่งปันกันขนาดนี้  แต่มันมีไอ้ที่อยากได้มากกว่าสูตรน่ะครับ  อยากรู้ที่มาที่ไปทำไมต้องใช้แป้งตัวนี้  ทำไมต้องเอาไปผสมกับครีมตัวนั้น  แล้วอะไรจับคู่กับอะไรจะได้ผลยังไงบ้าง  มันน่าสนุกกว่ามานั่งท่องจำสูตรเยอะเลยง่ะ

อยากได้ห้องเรียนแบบ  ถือแอปเปิ้ลเข้าไปแล้วบอกเราว่ามันเอาไปทำอะไรได้บ้าง  ครูก็บอกเรามาไล่เป็นลิสท์มาเลย ทาร์ต มัฟฟิน น้ำปั่น พาย ฯลฯ แล้วดูว่าเราสนใจจะทำอะไรก็สอนกันไปตามนั้น  หรือถือผลอะไรมาสักอย่างมาแล้วถามครูว่าจะเอาไอ้นี่มาทำเป็นไส้มีกี่วิธีทำไงได้บ้าง  อะไรแบบนั้น น่าสนุกดีใช่มั้ยล่ะ


ขอบคุณทุกสูครในเน็ตนะฮะ

31.5.13

อยู่โคราชมาสองสามวัน (วันนี้วันที่สาม-มาตั้งแต่คืนวันอังคาร) นอนดึกตื่นสายสลับกันไปหน้าเลยเหี่ยวลงตามสภาพ เมื่อคืนนี้รวมหัวกันเล่นไพ่หาไอเดียวาดรูป (สร้างภาพ) บทสรุปคือไม่ว่าจะได้ไพ่ดีแค่ไหน สุดท้าย เม้ ก็ชนะอยู่ดี แทนที่จะได้ทุนไปซื้อเครื่องตีไข่ขาดทุนบักโกรกเลย
ช่วงนี้ติด Series เรื่อง Hormones ของ GTH ก็แหม เล่นขนตัวโปรดมายัดลงจอพร้อมๆกันซะขนาดนั้นใครจะไม่ติดไหวครับพี่ย้ง ทั้ง ปันปัน(ลัดดาแลนด์) แพ๊ตตี้ น้องเก้า(แนะนำคนนี้มาก) น้องฝน(สาวเหล็กดัด สก๊อย ATM) แอร๊ยยยยยยยยยยยยย


17.4.13

โกหกกับขโมย

(จาก Jacob’s Journey)
..คืนวันสั้นลงทุกที แต่แถวยาวเหยียดหน้าบ้านโจเซฟไม่ได้สั้นลงเลย ตอนนี้ทุกคนต่างใส่ชื่อเจค็อบเข้าไปในรายการของที่ต้องซื้อจากตลาด

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะพูดกับเจค็อบเป็นคนแรกให้ได้ ถลึงตาใส่คนอื่นพลางท้าเจค็อบให้ตอบคำถามของเขา


“เพราะข้าไปโกหกเรื่องคนอื่นเข้า ใครๆ ในหมู่บ้านนี้เลยพากันเรียกข้าว่าหัวขโมย ท่านว่าข้าสมควรจะถูกลงโทษแบบเดียวกับหัวขโมยอย่างนั้นหรือ”


“ไม่หรอก” เจค็อบตอบแบบแทบจะไม่ใส่ใจเลย


“ก็นั่นน่ะสิ ข้าก็บอกพวกเขาอย่างนั้นแหละ” ชายผู้นั้นพูดพร้อมกับชูหัวแม่โป้งให้ฝูงชนที่อยู่ข้างหลังตน


“โทษของท่านควรจะหนักกว่านั้น” คำพูดของเจค็อบทำให้ผู้ถามถึงกับผงะ เขาพรั่งพรูคำสบถออกมาไม่หยุดยั้ง แต่เจค็อบก็ยังพูดต่อไป “มันเป็นอย่างนี้ หัวขโมยอาจจะถูกบังคับให้เอาของที่ขโมยไปมาคืนได้ แต่เมื่อท่านพูดโกหก คนที่อยู่รายรอบไม่อาจถูกบังคับให้นำสิ่งที่ได้ยินมาคืนได้ เหมือนกับที่เราไม่อาจนำสิ่งที่เราเห็นมาคืนได้ ฉันใดก็ฉันนั้น”


“แต่ข้าไม่ได้พูดโกหกกับทุกคนนี่”

“ในเมล็ดพันธุ์แห่งการกล่าวเท็จ” เจค็อบพูด “ก็คือป่าไม้แห่งความหลอกลวง ร่มเงาของมันแผ่คลุมไปถึงแม้กระทั่งผู้คนที่ไม่ได้ยินคำพูดอันไม่จริงนั้น”

(Jacob’s Journey การเดินทางของเจค็อบ เขียนโดย โนอาร์ เบนชี แปลโดย ฐิติมา สุทธิวรรณ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, หน้า 82)

17.1.13

my eyes are dry

What I did for love


ถ้ามันเคยเป็น 9 แล้วเหลือแค่ 6 ก็คิดซะว่ามันเป็นแค่เรื่องตลกของมูลค่า เขียนออกมายังเหมือนเดิม ลากเส้นเท่าเดิมแค่สลับด้านก็เท่านั้น ตัวเอกในละคร A Chorus line เดินมาตบหัวทิ่มฝากคำถามไว้ให้คิดว่าถ้าวันนึงไม่สามารถทำสิ่งที่รักได้แล้วจะเป็นอย่างไร แทบจะทันทีเราตอบว่า "ใครจะรอให้มีวันนั้น" หรือถ้ามันยืนยันจะมีวันที่แย่ขนาดนั้นให้ได้จริงๆ จะยิ้มหวานรับ  เมื่อวันนั้นมาถึงแล้วบอกมันว่าเราได้ทำไปหมดแล้ว,,,

Just wish me luck, the same to you.
But I can't regret what I did for love,,

22.9.12

May it be my last day,,,

ทุกคนรู้จักฉัน ทุกคนมองและยิ้มให้... แล้วทำไมยังเหงา
ยังต้องการมีอะไรอีกหรือเรา... และมันจะดีกว่านี้หรือเปล่า

ฉันได้ยินคำหวาน ทุกถ้อยคำที่ชื่นชม... แต่ยังมีความขื่นขมในใจ
ต่อจากนี้ต้องวนเวียนเท่าไหร่... แล้วฉันจึงจะพบ

หรือว่ามันไม่ใช่เลย...

4.5.12

ข้าวซอย

กำลังมีความสนใจตามรอยอาหาร อาศัยยืมแรงบันดาลใจจากบทความของพี่ผู้ชักนำ(ปรากฎเป็นบทความในเบื้องล่าง) จะไม่เยิ่นเย่อให้เสียเวลาขอถือบทความถัดจากนี้เป็นบทเกริ่นนำเพื่อการสืบเสาะและถกเถียงในวาระถัดไป เริ่มไปแล้วอย่างเผลอตัว...


ประวัติข้าวซอย
(ณริสสร สมสวัสดิ์)
เป็นความสงสัยส่วนตัวมานานแล้วว่าข้าวซอยนั้นมีที่มาจากที่ใด ที่สงสัยก็เพราะลักษณะและเครื่องปรุงนั้นแตกต่างจากอาหารชาวไทยล้านนาโบราณโดยสิ้นเชิงนับตั้งแต่ กะทิ ไปจนถึงบะหมี่เส้นแบนๆ ที่เรียกกันว่าเส้นข้าวซอย หน่ำซ้ำข้าวซอยเก่าแก่หลายเจ้าในเชียงใหม่ก็มักทำโดยชาวมุสลิม และติดป้ายอาหารฮาลาลซะหยั่งงั้น แบบที่ว่าไม่เคยเห็นอาหารเหนืออื่นไดที่ได้รับเกียรติในลักษณะเดียวกัน เคยสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ว่าได้กินข้าวซอยตั้งแต่รุ่นปู่ย่า หรือมีกันมาเป็นร้อยปีแล้วหรือไม่ส่วนใหญ่ก็ส่ายหน้าเพราะเท่าที่หลายคนจำได้ข้าวซอยก็ไม่ได้มีมานานขนาดนั้น หรือออกไปชนบทนอกตัวเมืองก็หาข้าวซอยกินยากมากหรือถ้ามีก็ทำไม่ครบสูตรและไม่อร่อย สรุปเอาง่ายๆว่าเป็นที่นิยมและเป็นสูตรเฉพาะของคนในเมืองมากกว่า
ลองสืบค้นดูจึงพอได้ความว่าข้าวซอยนั้นเป็นอาหารของชาวสิบสองปันนา และอาจแพร่หลายขึ้นไปจนถึงยูนนาน และแพร่หลายเข้าสู่ล้านนาตั้งแต่ในยุคที่ล้านนามีการทำการค้ากับจีนยูนนานผ่านพ่อค้าชาวจีนฮ่อ หรือที่เรียกว่าจีนมุสลิมโดยในช่วงกว่าร้อยปีที่แล้วพ่อค้าเหล่านี้เดินทางมาค้าขายกับล้านนาปีละ 1 ครั้ง และเลิกค้ากับล้านนาไปเมื่อราว 70-80 ปีที่ผ่านมานี้เองหลังมีการสร้างเส้นทางรถไฟขึ้นมาเชียงใหม่ปี2464 และมีการตัดถนนขึ้นสู่ภาคเหนือในช่วงหลังปี2490 เราหันไปค้าขายกับกรุงเทพแทนและการค้าเส้นทางดังกล่าวหมดบทบาทไป
อย่างไรก็ดีร่องรอยของคนเหล่านี้ก็ยังคงมีให้เห็นในล้านนามากมายนับตั้งแต่ชาวฮ่อที่อพยพมาตั้งรกรากในเชียงใหม่และจังหวัดอื่นๆในภาคเหนือไปจนถึงข้าวซอย อย่างไรก็ตามข้าวซอยของชาวฮ่อนั้นก็ยังไม่ใช่ข้าวซอยในแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันกล่าวคือมิได้ใส่กะทิ แต่ความเข้มข้นของน้ำซุปจะได้จากถั่วหมักและน้ำพริก ข้าวซอยในรูปแบบนี้ยังคงมีในปัจจุบันแต่เรียกว่าข้าวซอยฮ่อ หรือบ้างก็เรียกข้าวซอยสิบสองปันนา แล้วข้าวซอยที่ฮิตๆของเรามาจากไหน??



ข้าวซอยฮ่อ

ออกตัวก่อนว่าข้อสรุปนี้อาจไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็น แต่พิจารณาดูแล้วสันนิษฐานว่า ในช่วง 80-90 ปีที่ผ่านมาชาวมุสลิมจากภาคกลางของไทยได้อพยพขึ้นมายังภาคเหนือของไทย และเข้าใจว่าคงมีการปรับปรุงข้าวซอย อาหารของจีนมุสลิมเข้ากับก๋วยเตี๋ยวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวแขกแบบมุสลิมในภาคกลาง เหตุที่ทำให้คิดดังนี้ก็เพราะ ทั้งก๋วยเตี๋ยวแกงและข้าวซอยต่างมีส่วนผสมแล้วรสชาติที่ใกล้เคียงกันอย่างมาก ทั้งการใช้ผงกระหรี่ พริกแกง ขิง และกะทิ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังพบว่าร้านขายข้าวซอยหลายแห่งในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงยังมีการขายก๋วยเตี๋ยวแกงควบคู่ไปกับการขายข้าวซอย



ก๋วยเตี๋ยวแกง

จากที่ว่ามาทั้งหมดน่าจะได้ข้อสรุปว่าข้าวซอยนี้เรานำเข้ามาจากต่างแดน แต่ปรับปรุงสูตรใหม่เกือบทั้งหมดในล้านนานี่เอง เข้าใจว่าน่าจะในเชียงใหม่หรือลำปางซึ่งเป็นแถบที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่มาก จนเกิดเป็นอาหารรสเข้มถูกใจใครหลายคน ทั้งเป็นหน้าตาของเมืองเหนือที่สะท้อนถึงการเป็นเมืองสิบสองภาษา หรือเมืองที่มีผู้คนหลากหลายชาติพันธ์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...