กำลังมีความสนใจตามรอยอาหาร อาศัยยืมแรงบันดาลใจจากบทความของพี่ผู้ชักนำ(ปรากฎเป็นบทความในเบื้องล่าง) จะไม่เยิ่นเย่อให้เสียเวลาขอถือบทความถัดจากนี้เป็นบทเกริ่นนำเพื่อการสืบเสาะและถกเถียงในวาระถัดไป เริ่มไปแล้วอย่างเผลอตัว...
ประวัติข้าวซอย
(ณริสสร สมสวัสดิ์)
เป็นความสงสัยส่วนตัวมานานแล้วว่าข้าวซอยนั้นมีที่มาจากที่ใด ที่สงสัยก็เพราะลักษณะและเครื่องปรุงนั้นแตกต่างจากอาหารชาวไทยล้านนาโบราณโดยสิ้นเชิงนับตั้งแต่ กะทิ ไปจนถึงบะหมี่เส้นแบนๆ ที่เรียกกันว่าเส้นข้าวซอย หน่ำซ้ำข้าวซอยเก่าแก่หลายเจ้าในเชียงใหม่ก็มักทำโดยชาวมุสลิม และติดป้ายอาหารฮาลาลซะหยั่งงั้น แบบที่ว่าไม่เคยเห็นอาหารเหนืออื่นไดที่ได้รับเกียรติในลักษณะเดียวกัน เคยสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ว่าได้กินข้าวซอยตั้งแต่รุ่นปู่ย่า หรือมีกันมาเป็นร้อยปีแล้วหรือไม่ส่วนใหญ่ก็ส่ายหน้าเพราะเท่าที่หลายคนจำได้ข้าวซอยก็ไม่ได้มีมานานขนาดนั้น หรือออกไปชนบทนอกตัวเมืองก็หาข้าวซอยกินยากมากหรือถ้ามีก็ทำไม่ครบสูตรและไม่อร่อย สรุปเอาง่ายๆว่าเป็นที่นิยมและเป็นสูตรเฉพาะของคนในเมืองมากกว่า
ลองสืบค้นดูจึงพอได้ความว่าข้าวซอยนั้นเป็นอาหารของชาวสิบสองปันนา และอาจแพร่หลายขึ้นไปจนถึงยูนนาน และแพร่หลายเข้าสู่ล้านนาตั้งแต่ในยุคที่ล้านนามีการทำการค้ากับจีนยูนนานผ่านพ่อค้าชาวจีนฮ่อ หรือที่เรียกว่าจีนมุสลิมโดยในช่วงกว่าร้อยปีที่แล้วพ่อค้าเหล่านี้เดินทางมาค้าขายกับล้านนาปีละ 1 ครั้ง และเลิกค้ากับล้านนาไปเมื่อราว 70-80 ปีที่ผ่านมานี้เองหลังมีการสร้างเส้นทางรถไฟขึ้นมาเชียงใหม่ปี2464 และมีการตัดถนนขึ้นสู่ภาคเหนือในช่วงหลังปี2490 เราหันไปค้าขายกับกรุงเทพแทนและการค้าเส้นทางดังกล่าวหมดบทบาทไป
อย่างไรก็ดีร่องรอยของคนเหล่านี้ก็ยังคงมีให้เห็นในล้านนามากมายนับตั้งแต่ชาวฮ่อที่อพยพมาตั้งรกรากในเชียงใหม่และจังหวัดอื่นๆในภาคเหนือไปจนถึงข้าวซอย อย่างไรก็ตามข้าวซอยของชาวฮ่อนั้นก็ยังไม่ใช่ข้าวซอยในแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันกล่าวคือมิได้ใส่กะทิ แต่ความเข้มข้นของน้ำซุปจะได้จากถั่วหมักและน้ำพริก ข้าวซอยในรูปแบบนี้ยังคงมีในปัจจุบันแต่เรียกว่าข้าวซอยฮ่อ หรือบ้างก็เรียกข้าวซอยสิบสองปันนา แล้วข้าวซอยที่ฮิตๆของเรามาจากไหน??
ข้าวซอยฮ่อ
ออกตัวก่อนว่าข้อสรุปนี้อาจไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็น แต่พิจารณาดูแล้วสันนิษฐานว่า ในช่วง 80-90 ปีที่ผ่านมาชาวมุสลิมจากภาคกลางของไทยได้อพยพขึ้นมายังภาคเหนือของไทย และเข้าใจว่าคงมีการปรับปรุงข้าวซอย อาหารของจีนมุสลิมเข้ากับก๋วยเตี๋ยวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวแขกแบบมุสลิมในภาคกลาง เหตุที่ทำให้คิดดังนี้ก็เพราะ ทั้งก๋วยเตี๋ยวแกงและข้าวซอยต่างมีส่วนผสมแล้วรสชาติที่ใกล้เคียงกันอย่างมาก ทั้งการใช้ผงกระหรี่ พริกแกง ขิง และกะทิ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังพบว่าร้านขายข้าวซอยหลายแห่งในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงยังมีการขายก๋วยเตี๋ยวแกงควบคู่ไปกับการขายข้าวซอย
ก๋วยเตี๋ยวแกง
จากที่ว่ามาทั้งหมดน่าจะได้ข้อสรุปว่าข้าวซอยนี้เรานำเข้ามาจากต่างแดน แต่ปรับปรุงสูตรใหม่เกือบทั้งหมดในล้านนานี่เอง เข้าใจว่าน่าจะในเชียงใหม่หรือลำปางซึ่งเป็นแถบที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่มาก จนเกิดเป็นอาหารรสเข้มถูกใจใครหลายคน ทั้งเป็นหน้าตาของเมืองเหนือที่สะท้อนถึงการเป็นเมืองสิบสองภาษา หรือเมืองที่มีผู้คนหลากหลายชาติพันธ์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...
4.5.12
7.9.11
ทอดถอน (18 มีนา 2011)
กำลังนั่งเล่นเพลิน เพลิน แล้วดันเหวี่ยงสายตาไปเห็น
ตู้ปลาขนาดใหญ่ภายในมีปลามังกร ว่ายวนเล่นอย่างเย็นใจ สีหน้าท่าทางดูสง่า
น่าเกรงขาม ไม่รู้ในสัตว์น้ำเรียกกันว่าอย่างไร สำหรับมนุษย์อย่างชาวเรา
คำว่า "องอาจ" น่าจะถ่ายทอดอากัปกิริยาออกมาได้ตรงถ้อย ที่สุดแล้ว
ส่วนตัวคิดว่าเจ้าปลาคงชอบมากกว่าคำว่า "สง่า"
(ที่เคยใช้ไปแล้วในบรรทัดต้นๆ
ทั้งยังเคยได้ยินหลายคนใช้วิเศษนี้ขยายภาพลักษณ์ของสัตว์ นานาชนิด)
ก็นะเจ้า "สง่า" มักเขียนวลีตามว่า "ผ่าเผย"
หากเราเป็นเจ้าปลาได้ฟังรู้คงสะดุ้งใจพิลึก
ในขณะที่กำลังเจริญ ตา(เพียงอย่างเดียว)กับการว่ายไปมาอย่างองอาจ สายตาข้าพเจ้าก็ลดต่ำลงมาตรงมุมขอบตู้ กระดาษใบไม่เล็กถูกพิมพ์ขึ้นอย่างตั้งใจ เคลือบด้วยลามิเนตอย่างดี บรรจงจูบแนบชิดติดกับกระจกที่กั้นระหว่างข้าพเจ้ากับเจ้าปลามังกร
รกตาหรือ? ปล่าวเลย
ออกแบบแย่งั้นรึ? ก็ไม่ถึงขั้นนั้น
เพียง แต่แค่รู้สึกแปลกและคิดว่าเดิมควรจะถูกพิมพ์ว่า "กรุณาอย่าจับตู้ปลา" หรือไม่ก็ "อย่าเคาะกระจกเดี๋ยวปลาตกใจ" มิใช่หรือ ควรจะเป็นข้อความในท่วงทำนองของการดูแล เอาใจใส่ ปกป้องแสดงออกซึ่งความหวงแหนในสัตว์เลี้ยงราคาแพง ในเพื่อนคลายเหงามิใช่หรือ ข้อความที่ปรากฎสะกิดเตือนให้นึกถึงหลักภาษา แต่ข้าพเจ้าว่ามันชัดเจนเกินไปที่จะอ่านผิด ถ้าอย่างนั้นคงต้องจับใจความกันที่เจตนา
ข้อความสามบรรทัดนั้นแสดง เจตนาชัดว่าอยากจะสื่อสารกับผู้อื่นหาใช่เจ้าปลาราคาแพง ปลามังกรตัวนั้นที่วัน วัน มีแต่ว่ายโชว์ความองอาจ จะมีโอกาสอันใดเล่าที่จะเข้าถึงสารที่ถูกนำมาแปะประกาศ หนทางที่จะได้เห็นว่ายากแล้ว การทำความเข้าใจยิ่งเป็นไปไม่ได้ แอบคิดในทีว่าถ้ามันอ่านออกก็คงไม่อยากเห็นอยู่ดี ตรงนี้กระมังที่ข้าพเจ้าใจหาย อารมณ์ประมาณถึงเข้าใจความหมายก็รับไม่ได้ด้วยความรู้สึก ข้าพเจ้าทอดสายตาเนิบช้าเหลือบมองอีกคราแบบชัดๆ
"ขายปลามังกร 250,000
พร้อมตู้+อุปกรณ์
ติดต่อ 08-xxxx-xxxx"
ถูก เพื่อนรัก ,คู่ชีวิต ,คนดูแล มาลอบตีจาก ประกาศอย่างจะแจ้ง ผู้ที่จะได้รับรู้เป็นสุดท้ายคือตัวมันนั่นเอง ถึงอย่างนั้นถามใจข้าพเจ้า ก็คงทำเช่นมัน เมินใส่ความรู้สึกสูญเสียนั้นหรือ หาใช่ไม่ เแต่เพียงทำตามในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดจนถึงที่สุด คือได้แค่ว่ายต่อไปอย่างองอาจ คาดหวังความเสียดายในวาระสุดท้าย และหรือความเสียใจเมื่อจากไปแล้วให้หวนคนึง ความเศร้าที่คะเนคงไม่บังเกิด เพราะปลาไม่ใช่รู้ภาษาคน ข้าพเจ้าที่เหมือนสุขดีอยู่ทุกวันจะต่างอันใดกันเล่า เมื่อไม่มีวันจะเข้าถึงจิตใจเจ้าของ ดั่งเช่นปลาไม่รู้ภาษามนุษย์
ฤๅตอนนี้หน้าตู้ของฉันก็มีกระดาษแบบเดียวกันแปะอยู่...
ในขณะที่กำลังเจริญ ตา(เพียงอย่างเดียว)กับการว่ายไปมาอย่างองอาจ สายตาข้าพเจ้าก็ลดต่ำลงมาตรงมุมขอบตู้ กระดาษใบไม่เล็กถูกพิมพ์ขึ้นอย่างตั้งใจ เคลือบด้วยลามิเนตอย่างดี บรรจงจูบแนบชิดติดกับกระจกที่กั้นระหว่างข้าพเจ้ากับเจ้าปลามังกร
รกตาหรือ? ปล่าวเลย
ออกแบบแย่งั้นรึ? ก็ไม่ถึงขั้นนั้น
เพียง แต่แค่รู้สึกแปลกและคิดว่าเดิมควรจะถูกพิมพ์ว่า "กรุณาอย่าจับตู้ปลา" หรือไม่ก็ "อย่าเคาะกระจกเดี๋ยวปลาตกใจ" มิใช่หรือ ควรจะเป็นข้อความในท่วงทำนองของการดูแล เอาใจใส่ ปกป้องแสดงออกซึ่งความหวงแหนในสัตว์เลี้ยงราคาแพง ในเพื่อนคลายเหงามิใช่หรือ ข้อความที่ปรากฎสะกิดเตือนให้นึกถึงหลักภาษา แต่ข้าพเจ้าว่ามันชัดเจนเกินไปที่จะอ่านผิด ถ้าอย่างนั้นคงต้องจับใจความกันที่เจตนา
ข้อความสามบรรทัดนั้นแสดง เจตนาชัดว่าอยากจะสื่อสารกับผู้อื่นหาใช่เจ้าปลาราคาแพง ปลามังกรตัวนั้นที่วัน วัน มีแต่ว่ายโชว์ความองอาจ จะมีโอกาสอันใดเล่าที่จะเข้าถึงสารที่ถูกนำมาแปะประกาศ หนทางที่จะได้เห็นว่ายากแล้ว การทำความเข้าใจยิ่งเป็นไปไม่ได้ แอบคิดในทีว่าถ้ามันอ่านออกก็คงไม่อยากเห็นอยู่ดี ตรงนี้กระมังที่ข้าพเจ้าใจหาย อารมณ์ประมาณถึงเข้าใจความหมายก็รับไม่ได้ด้วยความรู้สึก ข้าพเจ้าทอดสายตาเนิบช้าเหลือบมองอีกคราแบบชัดๆ
"ขายปลามังกร 250,000
พร้อมตู้+อุปกรณ์
ติดต่อ 08-xxxx-xxxx"
ถูก เพื่อนรัก ,คู่ชีวิต ,คนดูแล มาลอบตีจาก ประกาศอย่างจะแจ้ง ผู้ที่จะได้รับรู้เป็นสุดท้ายคือตัวมันนั่นเอง ถึงอย่างนั้นถามใจข้าพเจ้า ก็คงทำเช่นมัน เมินใส่ความรู้สึกสูญเสียนั้นหรือ หาใช่ไม่ เแต่เพียงทำตามในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดจนถึงที่สุด คือได้แค่ว่ายต่อไปอย่างองอาจ คาดหวังความเสียดายในวาระสุดท้าย และหรือความเสียใจเมื่อจากไปแล้วให้หวนคนึง ความเศร้าที่คะเนคงไม่บังเกิด เพราะปลาไม่ใช่รู้ภาษาคน ข้าพเจ้าที่เหมือนสุขดีอยู่ทุกวันจะต่างอันใดกันเล่า เมื่อไม่มีวันจะเข้าถึงจิตใจเจ้าของ ดั่งเช่นปลาไม่รู้ภาษามนุษย์
ฤๅตอนนี้หน้าตู้ของฉันก็มีกระดาษแบบเดียวกันแปะอยู่...
26.8.11
ความเป็นไทย
"ผมอยากจะเดาด้วยว่า ความเป็นไทยที่ถูกท้าทายนี้กระทบต่อชนชั้นนำยิ่งกว่าใคร เพราะบทบาทที่เคยกุมการนิยามความเป็นไทยหลุดจากมือชนชั้นนำไปอย่างฉับพลัน คล้ายกับอะไรที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คืออำนาจนำในการนิยามความเป็นไทย ตกไปอยู่ในมือของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย, อักขรวิธี, การพูดจา, และศิลปะการแสดง แต่ครั้งนี้คนที่แย่งชิงการนิยามความเป็นไทยไปกลับเป็นคนไร้หัวนอนปลายตีน..."
นิธิ เอียวศรีวงศ์
23 สิงหาคม พ.ศ. 2554
By : matichon.co.th
By : matichon.co.th
ปล.(ส่วนตัว) อยากให้ไปติดตามอ่านฉบับเต็ม ความเข้มข้นในตอนท้ายชวนให้ตบเข่าฉาด และหัวร่อออกมาอย่างท่าทีของชนชั้นสูง(ผู้ขาดสามัญสำนึกในกำพืด)
25.8.11
Red Guard
ถ้าเชื่อตาม อูไกว่ (อาจารย์ของแพนด้าโป) ที่เคยร่ำว่า "ไม่มีเหตุบังเอิญในโลก" การพบเห็นสิ่งทำคล้าย เจตนา หรือจงใจให้เหมือน วัฒนธรรม/ศิลปะ แบบหลังม่านเหล็ก(ในโซเวียตรัสเซีย) อย่างบ่อยถี่ช่วงนี้ คงต้องมีสาเหตุที่มาที่ไปสินะ
ความนิยมล้อเลียนศิลปะแบบคอมมิวนิสต์ (เฉพาะเจาะจงไปที่ Propaganda Poster) มีตั้งแต่ไหนไม่ทันสังเกตุ หากถามเอาทัศนะส่วนตัว ความทรงจำไกลที่สุดที่ระลึกได้ พาลให้วลีที่เคยได้ยินลอยมา เบา เบา
"แดดแรงเท่าไร เงาก็ยิ่งชัดเข้มเท่านั้น"
ภาพกราฟฟิคกลับมามีอิทธิผลโดยไม่เพียงส่งผ่านจากโปสเตอร์ กลับทำตัวเหนือกว่านั้นด้วยยืมมือสื่อในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต(Social Network)เสียเลย ในการหาเสียงของ มิสเตอร์โอบามา เลือกฉวยเอาวัฒนธรรมป็อปอาร์ท(Pop-Art) ในนามตัวพ่อของภาพแนวฉูดฉาดอย่าง แอนดี้ วอฮอลล์ มาเป็นหัวหอก นี่ถือประหนึ่งเป็นแดดอันแรงแผดจ้าในวันฟ้าหม่นของคนอเมริกา ภาพลักษณ์ของคนหัวใหม่ ความหวัง แรงบันดาลใจ และแน่นอนสื่อสารตรงกลุ่ม ความฉูดฉาดของการใช้สีสะดุดตาเรียกหา ทักทาย เชื้อเชิญให้เทความสนใจ จนเกิดการติดตามและศึกษาทำความรู้ความเข้าใจ
กลับกันภาคเงานั้นคงหนีไม่พ้นศิลปะแบบอาร์วองการ์ด จากยุคปฏิวัติชนชั้นกรรมกร อาวองการ์ด (Avant-garde) ใน ภาษาฝรั่งเศสหมายถึง ทหารกองหน้า หรือ ผู้นำทางสังคม (แวนการ์ด) คำนี้มักใช้ในภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน เพื่อหมายถึงผู้คนหรืองานที่เป็นแนวทดลองหรือแนวใหม่ โดยเฉพาะในทางศิลปะ วัฒนธรรม และการเมือง อาวองการ์ดแสดงถึงการผลักดันขอบเขตที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา (norm) หรือสถานภาพปัจจุบัน (status quo) โดยเริ่มแรกในขอบเขตทางวัฒนธรรม ปลุกจิตสำนึกของรากเหง้าของความเป็นชาติ ผ่านงานศิลปะ แต่นัยยะของมันไม่ใช่การต่อต้าน ตั้งต้นเป็นปฏิปักษ์ ตามอย่างที่เคยถือธงนำ ผิดแผกไปเลยโดยเพิ่มมิติของศิลปะเข้าไป เน้นเสียดสี ยั่วล้อ ให้คิดตามและทำความเข้าใจอย่างง่าย
ข้าพเจ้าเห็นจำแนกเหตุในการยกเอาคู่ตรงข้ามของด้านในศิลปะมาประชันกันอย่างดาษดื่น ในโลกไซเบอร์ เป็นผลอันเนื่องมาจากแดด และ เงา ตามอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ความน่าสนใจอยู่ที่ผู้นำไปใช้มีความรู้เท่าถึงเพียงไรในการจะสื่อความหมาย มีความระวังไหวหรือการศึกษาเพียงไรจึงจะรู้ทราบว่าไม่ได้กระทำการลงไปให้ระคายเคืองกระทบชิ่งถึงตัวองค์กร สินค้า หรือสถาบันโดยเจตนาเพียงแค่เห็นเป็นเรื่อง เท่ห์ เก๋ ชิค(chic)
ความน่าสนใจเพิ่งจะเริ่มเกิดมี จากนี้เราจะแอบติดตามดูอย่างเพลิดเพลิน
สัมภาษณ์ตัวเอง
ยังเรียบเรียงเรื่องที่จะเขียนไม่ออกจึงคิดว่าควรเริ่มต้นการกลับชาติมาบ่นใหม่ด้วย บทสัมภาษณ์ตัวเองคงหรูไม่เบาเผื่อมีวันไหนดัง หรือมีสาวออกมาแฉจะได้เตรียมคำตอบไว้แต่เนิ่น ๆ เริ่มกันเลยดีกว่า
1 Three things I can't leave without:
iPhone ::: ติดหนึบ เป็นนิยามที่ครอบคลุม
Star Soccer (รายวัน) ::: เอาเป็นว่ายอมอดข้าว ดีกว่าไม่ได้อ่านหนังสือเลยละกัน
เป้สะพายข้าง ::: ปีนึงหัวไหล่ห่างเป้ ไม่เกิน 20 วัน เอะอะหยิบเป้ไว้ก่อน
2 My secret talent is:
การใช้ และเล่นกับตรรกะ
3 I love watching...
กีฬา ::: มันสร้างแรงบันดาลใจ และส่งต่อเล่าขานออกไปได้อย่างทรงพลังและไร้ขอบเขตจริงๆ
4 I cry when I watch...
หนัง ละคร ::: เผลอปล่อยอารมณ์ไหลตามไปได้ทุกทีสิน่า
5 My favourite song to sing in the shower is...
พรานล่อเนื้อ / หนึ่งมิตรชิดใกล้
6 I wish I had more...
ความอดทน และ "ตูด" เป็นสองอย่างที่ขาดอยู่ ถ้าได้อย่างเดียวขอ "ตูด" มาก่อนเลย ปัจจุบันนั่งแล้วเจ็บมาก
7 I like my girl to wear...
เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่ๆ ชุดนอนหลวม ๆ แขนเสื้อยาวกว่าแขนจริง
8 The best thing to do for a woman is...
ตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ไม่สำคัญว่าจะเล็กหรือไร้เหตุผลแค่ไหนก็ตาม
9 The most important thing I learned from my father was...
การสังเกตุ ปฏิภาณ และทุกอย่างที่เป็นเรื่องดีในชีวิต
10 My favourite time of day is...
ช่วงเช้าอันสดชื่น ช่วงเย็นที่เหมาะกับทุกกิจกรรม และหัวค่ำอันแสนผ่อนคลาย
23.10.10
the yers
การสื่อสาร The Yers
เชิญทัศนาพลางคิดตาม
---------------------------------------
ใจเราคิดตรงกันแล้ว ใจเราคิดตรงกัน
ฉันคอยบอกเธอประจำ ทำไมไม่เคยรู้
บอกเธอย้ำเตือนเธอแล้ว บอกเธอย้ำเตือนเธอ
คอยบอกเธอประจำ ที่ข้างหู
ฉันคอยบอกเธอประจำ ทำไมไม่เคยรู้
บอกเธอย้ำเตือนเธอแล้ว บอกเธอย้ำเตือนเธอ
คอยบอกเธอประจำ ที่ข้างหู
ต้องทนกับความทรมาณ ต้องทนกับการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ
ปล่อยกายและใจให้เบิกบาน อย่ากลัวเถอะฉันไม่ทำร้ายใคร
หากว่านิ่งฉันไม่แคร์ไม่ใส่ใจ เธอคงไม่รู้ความจริงเป็นอย่างไร
ได้แต่เสียใจ… และเมื่อเธอรับข้อความที่ส่งไป
เธอจะได้เห็น รักฉันที่ข้างใน อยู่เต็มหัวใจ ไม่เคยจะแบ่งให้ใคร……
ได้แต่เสียใจ… และเมื่อเธอรับข้อความที่ส่งไป
เธอจะได้เห็น รักฉันที่ข้างใน อยู่เต็มหัวใจ ไม่เคยจะแบ่งให้ใคร……
-----------------------------------------------
Subscribe to:
Posts (Atom)