ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นเอามากถึงขนาดนี้
เมื่อคืนไปงานแต่งหรูๆในกรุง เห็นทุกอย่างตามขนบสมัยนิยมเค้าชอบกัน organizer จัดงานเนี้ยบ อาหารไม่อั้น พิธีไม่บกพร่อง แต่เรากลับรู้สึกว่ามันเขินๆ มันเหงา และแข็งๆ เหมือนจัดให้คนอื่นดู อารมณ์มันรวนไปหมดเลย ซึ้งก็ซึ้งนะแต่ก็มีรู้สึกปลอมๆปนเข้ามา เหมือนจัดมาแล้วว่าตรงนี้ต้องซึ้ง ตรงนี้พีคนะคะ ประมาณนักแสดงซ้อมมา
สำหรับชีวิตตัวเอง(หมายความถึงแค่ตัวเองจริงๆนะ) คิดว่าเหลืองานใหญ่ในชีวิตอีกแค่สองงาน งานแต่ง กับงานศพ อันหลังนี่ได้แค่เตรียมไว้ ไม่น่าได้ไปร่วมงาน (ขืนดันทุลังตะออกมารับแขกในงานหลังนี่คงน่ากลัวพิลึก) โอเค หยุดตลกก่อน มาคุยเรื่องงานแรกกัน เป็นที่แน่นอนแล้วว่ามันต้องเกิดขึ้น ทีนี้มันควรจะออกมาหน้าตาเป็นยังไง พิธีการจ๋า มี vdo presentation สวยๆ ขับเน้นที่คู่บ่าวสาว แบบสมัยนิยม หรือเรียบง่ายพอเป็นพิธี คิดวนไปวนมา(ระหว่างตักบุฟเฟต์ในงานกิน) เหลือบไปเห็นผู้ปกครองบ่าวสาวและเพื่อนๆเค้าถ่ายรูปกัน ถ่ายเสร็จก็บูมเสียงดัง กระจ่างใจเลย นี่มันงานเลี้ยงรุ่นที่มีลูกบังหน้านี่หว่า 55555 หัวใจร่ำร้องเลยฮะ จะเอางานแบบนี้ งานที่ตอบแทนคนที่เลี้ยงเรามา งานที่มีไว้ขอบคุณสิ่งแวดล้อม ที่ปั้นให้เราเป็นเรา งานที่เอาไว้ไปอ้างมาสังสรรค์กัน
#ยิ้มกว้างแล้วกดมือถือเซลฟี่กับพวกลุงเค้าเบาๆ
26.10.15
22.9.15
Freelance
#Freelance
ฉากงานศพพ่อพงศธร (เพื่อนยุ่น) อาจเป็นภาพใหม่ไม่ชินตาของใครหลายคน พิธีศพแบบจีน ลูกชายคนโตจะ ป้อนข้าว ป้อนน้ำ เอาตะเกียบคีบข้าว เต้าหู้ น้ำตาลทรายแดงไปแตะริมฝีปากผู้ตาย ถือเป็นการทดแทนบุญคุณ ที่เค้าเลี้ยงดูเรามา
ทำไม นวพล ถึงเลือกฉายภาพงานศพแบบจีนในหนังของตัวเอง มากกว่างานแบบพุทธที่มีภาพจำอันชัดเจน ประเด็นทางครอบครัวนี้เราสนใจเป็นการส่วนตัว ด้วยหนังจากค่ายนี้หลายเรื่องดูมีลักษณะของผู้มีปมเกลียดพ่อ (oedipus) เช่น ความสัมพันธ์ของครอบครัวทั้งเพื่อนบ้านและตัวเอกในลัดดาแลนด์ และโดยส่วนใหญ่บทบาทตัวละครที่เป็นพ่อของ GTH มักจะเป็นพ่อแบบที่แบนราบไม่ก็ติดกับความเป็นพ่อแบบที่สังคมยัดเยียดให้ อารมณ์แบบ first fatherhood moment พยายามดัดตัวเองให้มีความเป็นพ่อ เป็นผู้นำครอบครัว ฉากงานศพนี้คล้ายจะสะท้อนให้เห็นภาพความสัมพันธ์ครอบครัวที่มีลำดับและสายใย(ผ่านพิธีกรรมแบบจีน-ซึ่งเชื่อว่าต่อให้ไม่รู้ว่าตัวละครทำอะไรอยู่ ก็ถือโอกาสสะกิดให้สงสัยและกลับไปหาคำตอบ)
ยุ่นพาตัวเองออกไปไกลจากจุดนั้น หนังคุยกับเราผ่านความคิดของยุ่น แต่ตลอดทั้งเรื่องยุ่นไม่เคยเอ่ยถึงพ่อ(เอาว่าขนาด #พี่สุชาติ ยังมีตัวตน) แม้แต่รูปถ่ายที่แม่ฝาก retouch ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับ "ภาพครอบครัว" เลย
จุดเปลี่ยนหลังจากที่ยุ่นหัวกระแทกโต๊ะแล้ว เกิดมรณานุสติระลึกได้ถึงการมีอยู่ของ "สายใย"/"ความสัมพันธ์" ที่ตัวเองมี สิ่งนั้นเหมือนเป็นตัวแทนของครอบครัวเท่าที่ยุ่นนึกออก ความสัมพันธ์ที่เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองก็ครอบครองไว้ มันเป็น connection ไม่ใช่ bonding โชคดีที่มันเป็นภาพยนตร์ และโชคดีที่ นวพล ไม่ใจร้ายจนเกินไป ยุ่นจึงยังได้ไปต่อ อาจจะก้าวข้ามบางอย่างในจิตใจของตน หันกลับมาทบทวนและหวนมองรอบๆตัวเอง แต่บางชีวิตไม่ได้ถูกกำกับโดย นวพล ถ้ามีโอกาสจงคว้าไว้ ถ้าคิดได้ไม่ว่าจะตอนไหนไม่มีสายเกินไป อย่าให้คนที่คาดหวังกับเราต้องผิดหวัง และก็อย่าให้ตัวเองต้องจบชีวิตไปลำพัง ดูแลคนใกล้ตัวอย่าให้ใครต้องกลายเป็น "ผู้ป่วยนอก(วงกลม)"
ทำไม นวพล ถึงเลือกฉายภาพงานศพแบบจีนในหนังของตัวเอง มากกว่างานแบบพุทธที่มีภาพจำอันชัดเจน ประเด็นทางครอบครัวนี้เราสนใจเป็นการส่วนตัว ด้วยหนังจากค่ายนี้หลายเรื่องดูมีลักษณะของผู้มีปมเกลียดพ่อ (oedipus) เช่น ความสัมพันธ์ของครอบครัวทั้งเพื่อนบ้านและตัวเอกในลัดดาแลนด์ และโดยส่วนใหญ่บทบาทตัวละครที่เป็นพ่อของ GTH มักจะเป็นพ่อแบบที่แบนราบไม่ก็ติดกับความเป็นพ่อแบบที่สังคมยัดเยียดให้ อารมณ์แบบ first fatherhood moment พยายามดัดตัวเองให้มีความเป็นพ่อ เป็นผู้นำครอบครัว ฉากงานศพนี้คล้ายจะสะท้อนให้เห็นภาพความสัมพันธ์ครอบครัวที่มีลำดับและสายใย(ผ่านพิธีกรรมแบบจีน-ซึ่งเชื่อว่าต่อให้ไม่รู้ว่าตัวละครทำอะไรอยู่ ก็ถือโอกาสสะกิดให้สงสัยและกลับไปหาคำตอบ)
ยุ่นพาตัวเองออกไปไกลจากจุดนั้น หนังคุยกับเราผ่านความคิดของยุ่น แต่ตลอดทั้งเรื่องยุ่นไม่เคยเอ่ยถึงพ่อ(เอาว่าขนาด #พี่สุชาติ ยังมีตัวตน) แม้แต่รูปถ่ายที่แม่ฝาก retouch ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับ "ภาพครอบครัว" เลย
จุดเปลี่ยนหลังจากที่ยุ่นหัวกระแทกโต๊ะแล้ว เกิดมรณานุสติระลึกได้ถึงการมีอยู่ของ "สายใย"/"ความสัมพันธ์" ที่ตัวเองมี สิ่งนั้นเหมือนเป็นตัวแทนของครอบครัวเท่าที่ยุ่นนึกออก ความสัมพันธ์ที่เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองก็ครอบครองไว้ มันเป็น connection ไม่ใช่ bonding โชคดีที่มันเป็นภาพยนตร์ และโชคดีที่ นวพล ไม่ใจร้ายจนเกินไป ยุ่นจึงยังได้ไปต่อ อาจจะก้าวข้ามบางอย่างในจิตใจของตน หันกลับมาทบทวนและหวนมองรอบๆตัวเอง แต่บางชีวิตไม่ได้ถูกกำกับโดย นวพล ถ้ามีโอกาสจงคว้าไว้ ถ้าคิดได้ไม่ว่าจะตอนไหนไม่มีสายเกินไป อย่าให้คนที่คาดหวังกับเราต้องผิดหวัง และก็อย่าให้ตัวเองต้องจบชีวิตไปลำพัง ดูแลคนใกล้ตัวอย่าให้ใครต้องกลายเป็น "ผู้ป่วยนอก(วงกลม)"
ปล.ใจแลกใจ บางเพลงเคยว่าไว้ และบางใครเคยเอ่ยถึง

11.6.15
มิกะมิสยูววววว
ข้าพเจ้าถูกห้อมล้อมด้วยความพยายามของคนหลายคน
คนสำคัญที่เป็นทั้งผู้ร่วมงาน ,พาร์ทเนอร์ ,คู่หู ,คนรักและคนเคยรัก ผลักดันทุกอย่าง ใส่ใจกับเราในทุกเรื่อง ไล่ไปอาบน้ำบ้างล่ะ ตีมือเวลาเผลอกัดเล็บบ้างล่ะ บางเรื่องก็ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิมจนต้องนั่งนึกอยู่นานว่า เอ เราทำอย่างที่มันพูดจริงหรอวะ บางเรื่องก็ใหญ่โต ระดับต้องจัดเวรยามเฝ้าระวังเลยก็มี การขอบคุณ ขอโทษ ไถ่ถามและลามปามไปจนถึงเล่าเรื่องแลกเปลี่ยนสิ่งที่ไปพบเจอมาในทุกเรื่องกับทุกคนเหล่านั้น เป็นสิ่งซึ่งสมควรกระทำ ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีรับฟังเรา (as me) หรือไม่ก็ตาม
สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เราเดินทางไปหลายที่ของประเทศไทย พบเจอคนใหม่ๆ และใครเดิมๆ คละเคล้ากันไป บางความสัมพันธ์เติบโตงอกเงยขึ้นด้วยการเดินทาง บางความสัมพันธ์ได้รับการเยียวยา และสมานรอยร้าว ยังอีกมากความสัมพันธ์ที่ทั้งรอ และ/หรือ ไม่คาดหวังการกลับไปปรากฎตัวของเรา บัดนี้ ข้าพเจ้าสูดหายใจลึกกักตุนแรงบันดาลใจเคล้าอายฝนต้นเดือนหกเข้าไปจนสำลักปอด จึงยินดีประกาศดังๆว่า "ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว" และจะเดินทางไปหาทุกคนอย่างตั้งใจ ไม่ว่าเจ้าของเรือนจะพร้อมต้อนรับหรือไม่ก็ตาม
มิกะมิสยูววววว
คนสำคัญที่เป็นทั้งผู้ร่วมงาน ,พาร์ทเนอร์ ,คู่หู ,คนรักและคนเคยรัก ผลักดันทุกอย่าง ใส่ใจกับเราในทุกเรื่อง ไล่ไปอาบน้ำบ้างล่ะ ตีมือเวลาเผลอกัดเล็บบ้างล่ะ บางเรื่องก็ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิมจนต้องนั่งนึกอยู่นานว่า เอ เราทำอย่างที่มันพูดจริงหรอวะ บางเรื่องก็ใหญ่โต ระดับต้องจัดเวรยามเฝ้าระวังเลยก็มี การขอบคุณ ขอโทษ ไถ่ถามและลามปามไปจนถึงเล่าเรื่องแลกเปลี่ยนสิ่งที่ไปพบเจอมาในทุกเรื่องกับทุกคนเหล่านั้น เป็นสิ่งซึ่งสมควรกระทำ ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีรับฟังเรา (as me) หรือไม่ก็ตาม
สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เราเดินทางไปหลายที่ของประเทศไทย พบเจอคนใหม่ๆ และใครเดิมๆ คละเคล้ากันไป บางความสัมพันธ์เติบโตงอกเงยขึ้นด้วยการเดินทาง บางความสัมพันธ์ได้รับการเยียวยา และสมานรอยร้าว ยังอีกมากความสัมพันธ์ที่ทั้งรอ และ/หรือ ไม่คาดหวังการกลับไปปรากฎตัวของเรา บัดนี้ ข้าพเจ้าสูดหายใจลึกกักตุนแรงบันดาลใจเคล้าอายฝนต้นเดือนหกเข้าไปจนสำลักปอด จึงยินดีประกาศดังๆว่า "ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว" และจะเดินทางไปหาทุกคนอย่างตั้งใจ ไม่ว่าเจ้าของเรือนจะพร้อมต้อนรับหรือไม่ก็ตาม
มิกะมิสยูววววว
3.6.15
เวลาที่เป็นเอามาก นี่เป็นเอามากจริงๆ
1
มันเป็นร้านหนังสือที่ไม่พิถีพิถันกับอะไรเลย นอกจากหนังสือและกาแฟ กรุณาลืมภาพร้านหรูหราบรรยากาศชวนนั่งจิบกาแฟ มีบริกรหน้าตาจิ้มลิ้มไปก่อนสักครู่ ร้านนี้มีเพียงชั้นหนังสือ วางเรียงเบียดกันตรงทางก่อนถึงห้องน้ำ หนังสือหลากหลายแนวเข้าแถวเรียงกัน ไม่ถึงกับเป็นระเบียบ แต่มันมากไปด้วยความตั้งใจของคนจับวาง หนังสือแต่ละเล่มดูมีชีวิตชีวา ราวกับเป็นเด็กอนุบาลรอผู้ปกครองมารับ เอาจริงๆนะ ถ้ามันจะฟังดูกระแดะไปเยอะ ก็เพราะจริตมันฟ้องมาอย่างนั้นจริงๆ
2
มันเป็นวันจันทร์ คุณคงไม่รู้หรอกว่ามันยากแค่ไหนในการหาที่นั่งในร้านแบบนี้ โดยเฉพาะวันจันทร์ อ้อ คุณอาจเข้าใจมันได้ง่ายขึ้น ถ้าคุณเป็นหรือเคยเป็นมนุษย์ผู้อ่อนล้าจากวันหยุด ต้องการเคมีบางอย่างมาพยุงร่าง รับวันทำงานวันแรกของสัปดาห์
ขณะที่ก้าวเท้าเข้าร้าน โต๊ะเกือบทุกชุดมีเจ้าของไปแล้ว ผมใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อส่ายสายตาหาเก้าอี้ที่ดูจะยังว่าง แล้วตรงดิ่งเข้าไปหย่อนร่างลงประทับทันที
"รับอะไรดีครับ" บริกรหนุ่มชิงถาม
เราทิ้งคำถามน้องบริกร ค้างไว้กลางอากาศสามวินาที แล้วเอาสามวินาทีนั้นไปพิจารณาเมนู เลือก "อเมริกาโน" มาเป็นคำตอบ
"ร้อนหรือเย็นดีครับ ผมแนะนำว่า ถ้าร้อนควรนั่งห่างหน้าต่างเพราะแดดแรง แต่ถ้าจะสั่งเย็นผมเกรงว่าจะนานไป เวลานี้ก็เพิ่งจะเป็นช่วงสายของวันเอง"
--- ผมเล่าอะไรตกไปสินะ ความกวนประสาทของเจ้าของร้านยันบริกร เป็นทั้งของแถม(ที่ไม่เคยสั่ง) และเอกลักษณ์(ที่ไม่ค่อยน่ารักตามหน้าตาผู้ยิงมุก)---
ผมชักสีหน้าเล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับไปว่า
"เอาร้อนๆเลยนะ จะเอามาสาดพนักงาน"
เจ้าหนุ่มจึงกระวีกระวาดไปชงได้เสียที
3
เธอจอดรถสีขาวคันใหญ่ที่ฟากตรงข้าม ริมถนนนั้นมีต้นไม้สูงตระหง่านพอจะเป็นร่มให้รถเธอไม่ต้องเผชิญกับแดดโดยตรง ถนนขนาดสองเลนธรรมดา ไม่ได้กว้างไปกว่าคลองแถวบ้านสักเท่าไหร่ ผมจ้องมองเธอจากระยะไกล มันไม่ได้ไกลตามระยะทาง ที่รู้สึกว่าห่างคงเพราะความรู้สึก (อะไรก็ตามมักจะดูห่างไกลเสมอ เวลาที่เราไม่รู้สึกถึง) จากประตูรถเธอถึงเคาเตอร์ ทุกอากัปกิริยาของเธอไม่หลุดไปจากคลองสายตาของผมเลย แต่ตอนนี้ เธอหยุดเคลื่อนไหวแล้ว!!! เหลือเพียงริมฝีปากบางสีนู้ดโทน ขยับทักทายกับบริกรพร้อมสั่งเครื่องดื่ม หูผมหยุดทำงานไปตั้งแต่สายตาเริ่มจับความเคลื่อนไหวของเธอได้ ดังนั้นเรื่องที่ว่าเธอสั่งอะไรดื่มนั้น ผมบกพร่องไปโดยสุจริต แต่จู่ๆ หูผมกลับมาทำงานอีกครั้งโดยไม่ต้องไปหาหมอรักษา ยาขนานแรงนั้นคือเสียงของหล่อน...
4.6.13
ทดลองๆๆๆ
รายงานการทดลอง
ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังทดลองผลิตไส้ขนมรส "โอเลี้ยง" อะไรมันจะ เวรี่ไทย (very Thai) ขนาดนั้น แน่นอนว่าไม่ง่ายเลยสักนิด เมื่อคืนลองไปสามแบบออกมาพอใช้ได้แค่แบบเดียว สนุกดีนะแต่เหนื่อยชะมัดเหล่าครูบาอาจารย์ที่สอนทำขนมทั้งหลายครับ การบอกสูตรเนี่ยดีมากเลยนะชื่นชมวงการขนมไทยที่แบ่งปันกันขนาดนี้ แต่มันมีไอ้ที่อยากได้มากกว่าสูตรน่ะครับ อยากรู้ที่มาที่ไปทำไมต้องใช้แป้งตัวนี้ ทำไมต้องเอาไปผสมกับครีมตัวนั้น แล้วอะไรจับคู่กับอะไรจะได้ผลยังไงบ้าง มันน่าสนุกกว่ามานั่งท่องจำสูตรเยอะเลยง่ะ
อยากได้ห้องเรียนแบบ ถือแอปเปิ้ลเข้าไปแล้วบอกเราว่ามันเอาไปทำอะไรได้บ้าง ครูก็บอกเรามาไล่เป็นลิสท์มาเลย ทาร์ต มัฟฟิน น้ำปั่น พาย ฯลฯ แล้วดูว่าเราสนใจจะทำอะไรก็สอนกันไปตามนั้น หรือถือผลอะไรมาสักอย่างมาแล้วถามครูว่าจะเอาไอ้นี่มาทำเป็นไส้มีกี่วิธีทำไงได้บ้าง อะไรแบบนั้น น่าสนุกดีใช่มั้ยล่ะ
ขอบคุณทุกสูครในเน็ตนะฮะ
31.5.13
อยู่โคราชมาสองสามวัน (วันนี้วันที่สาม-มาตั้งแต่คืนวันอังคาร) นอนดึกตื่นสายสลับกันไปหน้าเลยเหี่ยวลงตามสภาพ เมื่อคืนนี้รวมหัวกันเล่นไพ่หาไอเดียวาดรูป (สร้างภาพ) บทสรุปคือไม่ว่าจะได้ไพ่ดีแค่ไหน สุดท้าย เม้ ก็ชนะอยู่ดี แทนที่จะได้ทุนไปซื้อเครื่องตีไข่ขาดทุนบักโกรกเลย
ช่วงนี้ติด Series เรื่อง Hormones ของ GTH ก็แหม เล่นขนตัวโปรดมายัดลงจอพร้อมๆกันซะขนาดนั้นใครจะไม่ติดไหวครับพี่ย้ง ทั้ง ปันปัน(ลัดดาแลนด์) แพ๊ตตี้ น้องเก้า(แนะนำคนนี้มาก) น้องฝน(สาวเหล็กดัด สก๊อย ATM) แอร๊ยยยยยยยยยยยยย
ช่วงนี้ติด Series เรื่อง Hormones ของ GTH ก็แหม เล่นขนตัวโปรดมายัดลงจอพร้อมๆกันซะขนาดนั้นใครจะไม่ติดไหวครับพี่ย้ง ทั้ง ปันปัน(ลัดดาแลนด์) แพ๊ตตี้ น้องเก้า(แนะนำคนนี้มาก) น้องฝน(สาวเหล็กดัด สก๊อย ATM) แอร๊ยยยยยยยยยยยยย
17.4.13
โกหกกับขโมย
(จาก Jacob’s Journey)
..คืนวันสั้นลงทุกที แต่แถวยาวเหยียดหน้าบ้านโจเซฟไม่ได้สั้นลงเลย ตอนนี้ทุกคนต่างใส่ชื่อเจค็อบเข้าไปในรายการของที่ต้องซื้อจากตลาด
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะพูดกับเจค็อบเป็นคนแรกให้ได้ ถลึงตาใส่คนอื่นพลางท้าเจค็อบให้ตอบคำถามของเขา
“เพราะข้าไปโกหกเรื่องคนอื่นเข้า ใครๆ ในหมู่บ้านนี้เลยพากันเรียกข้าว่าหัวขโมย ท่านว่าข้าสมควรจะถูกลงโทษแบบเดียวกับหัวขโมยอย่างนั้นหรือ”
“ไม่หรอก” เจค็อบตอบแบบแทบจะไม่ใส่ใจเลย
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าก็บอกพวกเขาอย่างนั้นแหละ” ชายผู้นั้นพูดพร้อมกับชูหัวแม่โป้งให้ฝูงชนที่อยู่ข้างหลังตน
“โทษของท่านควรจะหนักกว่านั้น” คำพูดของเจค็อบทำให้ผู้ถามถึงกับผงะ เขาพรั่งพรูคำสบถออกมาไม่หยุดยั้ง แต่เจค็อบก็ยังพูดต่อไป “มันเป็นอย่างนี้ หัวขโมยอาจจะถูกบังคับให้เอาของที่ขโมยไปมาคืนได้ แต่เมื่อท่านพูดโกหก คนที่อยู่รายรอบไม่อาจถูกบังคับให้นำสิ่งที่ได้ยินมาคืนได้ เหมือนกับที่เราไม่อาจนำสิ่งที่เราเห็นมาคืนได้ ฉันใดก็ฉันนั้น”
“แต่ข้าไม่ได้พูดโกหกกับทุกคนนี่”
“ในเมล็ดพันธุ์แห่งการกล่าวเท็จ” เจค็อบพูด “ก็คือป่าไม้แห่งความหลอกลวง ร่มเงาของมันแผ่คลุมไปถึงแม้กระทั่งผู้คนที่ไม่ได้ยินคำพูดอันไม่จริงนั้น”
(Jacob’s Journey การเดินทางของเจค็อบ เขียนโดย โนอาร์ เบนชี แปลโดย ฐิติมา สุทธิวรรณ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, หน้า 82)
..คืนวันสั้นลงทุกที แต่แถวยาวเหยียดหน้าบ้านโจเซฟไม่ได้สั้นลงเลย ตอนนี้ทุกคนต่างใส่ชื่อเจค็อบเข้าไปในรายการของที่ต้องซื้อจากตลาด
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะพูดกับเจค็อบเป็นคนแรกให้ได้ ถลึงตาใส่คนอื่นพลางท้าเจค็อบให้ตอบคำถามของเขา
“เพราะข้าไปโกหกเรื่องคนอื่นเข้า ใครๆ ในหมู่บ้านนี้เลยพากันเรียกข้าว่าหัวขโมย ท่านว่าข้าสมควรจะถูกลงโทษแบบเดียวกับหัวขโมยอย่างนั้นหรือ”
“ไม่หรอก” เจค็อบตอบแบบแทบจะไม่ใส่ใจเลย
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าก็บอกพวกเขาอย่างนั้นแหละ” ชายผู้นั้นพูดพร้อมกับชูหัวแม่โป้งให้ฝูงชนที่อยู่ข้างหลังตน
“โทษของท่านควรจะหนักกว่านั้น” คำพูดของเจค็อบทำให้ผู้ถามถึงกับผงะ เขาพรั่งพรูคำสบถออกมาไม่หยุดยั้ง แต่เจค็อบก็ยังพูดต่อไป “มันเป็นอย่างนี้ หัวขโมยอาจจะถูกบังคับให้เอาของที่ขโมยไปมาคืนได้ แต่เมื่อท่านพูดโกหก คนที่อยู่รายรอบไม่อาจถูกบังคับให้นำสิ่งที่ได้ยินมาคืนได้ เหมือนกับที่เราไม่อาจนำสิ่งที่เราเห็นมาคืนได้ ฉันใดก็ฉันนั้น”
“แต่ข้าไม่ได้พูดโกหกกับทุกคนนี่”
“ในเมล็ดพันธุ์แห่งการกล่าวเท็จ” เจค็อบพูด “ก็คือป่าไม้แห่งความหลอกลวง ร่มเงาของมันแผ่คลุมไปถึงแม้กระทั่งผู้คนที่ไม่ได้ยินคำพูดอันไม่จริงนั้น”
(Jacob’s Journey การเดินทางของเจค็อบ เขียนโดย โนอาร์ เบนชี แปลโดย ฐิติมา สุทธิวรรณ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, หน้า 82)
Subscribe to:
Posts (Atom)