กำลังนั่งเล่นเพลิน เพลิน แล้วดันเหวี่ยงสายตาไปเห็น
ตู้ปลาขนาดใหญ่ภายในมีปลามังกร ว่ายวนเล่นอย่างเย็นใจ สีหน้าท่าทางดูสง่า
น่าเกรงขาม ไม่รู้ในสัตว์น้ำเรียกกันว่าอย่างไร สำหรับมนุษย์อย่างชาวเรา
คำว่า "องอาจ" น่าจะถ่ายทอดอากัปกิริยาออกมาได้ตรงถ้อย ที่สุดแล้ว
ส่วนตัวคิดว่าเจ้าปลาคงชอบมากกว่าคำว่า "สง่า"
(ที่เคยใช้ไปแล้วในบรรทัดต้นๆ
ทั้งยังเคยได้ยินหลายคนใช้วิเศษนี้ขยายภาพลักษณ์ของสัตว์ นานาชนิด)
ก็นะเจ้า "สง่า" มักเขียนวลีตามว่า "ผ่าเผย"
หากเราเป็นเจ้าปลาได้ฟังรู้คงสะดุ้งใจพิลึก
ในขณะที่กำลังเจริญ
ตา(เพียงอย่างเดียว)กับการว่ายไปมาอย่างองอาจ
สายตาข้าพเจ้าก็ลดต่ำลงมาตรงมุมขอบตู้
กระดาษใบไม่เล็กถูกพิมพ์ขึ้นอย่างตั้งใจ เคลือบด้วยลามิเนตอย่างดี
บรรจงจูบแนบชิดติดกับกระจกที่กั้นระหว่างข้าพเจ้ากับเจ้าปลามังกร
รกตาหรือ? ปล่าวเลย
ออกแบบแย่งั้นรึ? ก็ไม่ถึงขั้นนั้น
เพียง
แต่แค่รู้สึกแปลกและคิดว่าเดิมควรจะถูกพิมพ์ว่า "กรุณาอย่าจับตู้ปลา"
หรือไม่ก็ "อย่าเคาะกระจกเดี๋ยวปลาตกใจ" มิใช่หรือ
ควรจะเป็นข้อความในท่วงทำนองของการดูแล เอาใจใส่
ปกป้องแสดงออกซึ่งความหวงแหนในสัตว์เลี้ยงราคาแพง
ในเพื่อนคลายเหงามิใช่หรือ ข้อความที่ปรากฎสะกิดเตือนให้นึกถึงหลักภาษา
แต่ข้าพเจ้าว่ามันชัดเจนเกินไปที่จะอ่านผิด
ถ้าอย่างนั้นคงต้องจับใจความกันที่เจตนา
ข้อความสามบรรทัดนั้นแสดง
เจตนาชัดว่าอยากจะสื่อสารกับผู้อื่นหาใช่เจ้าปลาราคาแพง
ปลามังกรตัวนั้นที่วัน วัน มีแต่ว่ายโชว์ความองอาจ
จะมีโอกาสอันใดเล่าที่จะเข้าถึงสารที่ถูกนำมาแปะประกาศ
หนทางที่จะได้เห็นว่ายากแล้ว การทำความเข้าใจยิ่งเป็นไปไม่ได้
แอบคิดในทีว่าถ้ามันอ่านออกก็คงไม่อยากเห็นอยู่ดี
ตรงนี้กระมังที่ข้าพเจ้าใจหาย
อารมณ์ประมาณถึงเข้าใจความหมายก็รับไม่ได้ด้วยความรู้สึก
ข้าพเจ้าทอดสายตาเนิบช้าเหลือบมองอีกคราแบบชัดๆ
"ขายปลามังกร 250,000
พร้อมตู้+อุปกรณ์
ติดต่อ 08-xxxx-xxxx"
ถูก
เพื่อนรัก ,คู่ชีวิต ,คนดูแล มาลอบตีจาก ประกาศอย่างจะแจ้ง
ผู้ที่จะได้รับรู้เป็นสุดท้ายคือตัวมันนั่นเอง ถึงอย่างนั้นถามใจข้าพเจ้า
ก็คงทำเช่นมัน เมินใส่ความรู้สึกสูญเสียนั้นหรือ หาใช่ไม่
เแต่เพียงทำตามในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดจนถึงที่สุด
คือได้แค่ว่ายต่อไปอย่างองอาจ คาดหวังความเสียดายในวาระสุดท้าย
และหรือความเสียใจเมื่อจากไปแล้วให้หวนคนึง ความเศร้าที่คะเนคงไม่บังเกิด
เพราะปลาไม่ใช่รู้ภาษาคน
ข้าพเจ้าที่เหมือนสุขดีอยู่ทุกวันจะต่างอันใดกันเล่า
เมื่อไม่มีวันจะเข้าถึงจิตใจเจ้าของ ดั่งเช่นปลาไม่รู้ภาษามนุษย์
ฤๅตอนนี้หน้าตู้ของฉันก็มีกระดาษแบบเดียวกันแปะอยู่...
7.9.11
26.8.11
ความเป็นไทย
"ผมอยากจะเดาด้วยว่า ความเป็นไทยที่ถูกท้าทายนี้กระทบต่อชนชั้นนำยิ่งกว่าใคร เพราะบทบาทที่เคยกุมการนิยามความเป็นไทยหลุดจากมือชนชั้นนำไปอย่างฉับพลัน คล้ายกับอะไรที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คืออำนาจนำในการนิยามความเป็นไทย ตกไปอยู่ในมือของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย, อักขรวิธี, การพูดจา, และศิลปะการแสดง แต่ครั้งนี้คนที่แย่งชิงการนิยามความเป็นไทยไปกลับเป็นคนไร้หัวนอนปลายตีน..."
นิธิ เอียวศรีวงศ์
23 สิงหาคม พ.ศ. 2554
By : matichon.co.th
By : matichon.co.th
ปล.(ส่วนตัว) อยากให้ไปติดตามอ่านฉบับเต็ม ความเข้มข้นในตอนท้ายชวนให้ตบเข่าฉาด และหัวร่อออกมาอย่างท่าทีของชนชั้นสูง(ผู้ขาดสามัญสำนึกในกำพืด)
25.8.11
Red Guard
ถ้าเชื่อตาม อูไกว่ (อาจารย์ของแพนด้าโป) ที่เคยร่ำว่า "ไม่มีเหตุบังเอิญในโลก" การพบเห็นสิ่งทำคล้าย เจตนา หรือจงใจให้เหมือน วัฒนธรรม/ศิลปะ แบบหลังม่านเหล็ก(ในโซเวียตรัสเซีย) อย่างบ่อยถี่ช่วงนี้ คงต้องมีสาเหตุที่มาที่ไปสินะ
ความนิยมล้อเลียนศิลปะแบบคอมมิวนิสต์ (เฉพาะเจาะจงไปที่ Propaganda Poster) มีตั้งแต่ไหนไม่ทันสังเกตุ หากถามเอาทัศนะส่วนตัว ความทรงจำไกลที่สุดที่ระลึกได้ พาลให้วลีที่เคยได้ยินลอยมา เบา เบา
"แดดแรงเท่าไร เงาก็ยิ่งชัดเข้มเท่านั้น"
ภาพกราฟฟิคกลับมามีอิทธิผลโดยไม่เพียงส่งผ่านจากโปสเตอร์ กลับทำตัวเหนือกว่านั้นด้วยยืมมือสื่อในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต(Social Network)เสียเลย ในการหาเสียงของ มิสเตอร์โอบามา เลือกฉวยเอาวัฒนธรรมป็อปอาร์ท(Pop-Art) ในนามตัวพ่อของภาพแนวฉูดฉาดอย่าง แอนดี้ วอฮอลล์ มาเป็นหัวหอก นี่ถือประหนึ่งเป็นแดดอันแรงแผดจ้าในวันฟ้าหม่นของคนอเมริกา ภาพลักษณ์ของคนหัวใหม่ ความหวัง แรงบันดาลใจ และแน่นอนสื่อสารตรงกลุ่ม ความฉูดฉาดของการใช้สีสะดุดตาเรียกหา ทักทาย เชื้อเชิญให้เทความสนใจ จนเกิดการติดตามและศึกษาทำความรู้ความเข้าใจ
กลับกันภาคเงานั้นคงหนีไม่พ้นศิลปะแบบอาร์วองการ์ด จากยุคปฏิวัติชนชั้นกรรมกร อาวองการ์ด (Avant-garde) ใน ภาษาฝรั่งเศสหมายถึง ทหารกองหน้า หรือ ผู้นำทางสังคม (แวนการ์ด) คำนี้มักใช้ในภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน เพื่อหมายถึงผู้คนหรืองานที่เป็นแนวทดลองหรือแนวใหม่ โดยเฉพาะในทางศิลปะ วัฒนธรรม และการเมือง อาวองการ์ดแสดงถึงการผลักดันขอบเขตที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา (norm) หรือสถานภาพปัจจุบัน (status quo) โดยเริ่มแรกในขอบเขตทางวัฒนธรรม ปลุกจิตสำนึกของรากเหง้าของความเป็นชาติ ผ่านงานศิลปะ แต่นัยยะของมันไม่ใช่การต่อต้าน ตั้งต้นเป็นปฏิปักษ์ ตามอย่างที่เคยถือธงนำ ผิดแผกไปเลยโดยเพิ่มมิติของศิลปะเข้าไป เน้นเสียดสี ยั่วล้อ ให้คิดตามและทำความเข้าใจอย่างง่าย
ข้าพเจ้าเห็นจำแนกเหตุในการยกเอาคู่ตรงข้ามของด้านในศิลปะมาประชันกันอย่างดาษดื่น ในโลกไซเบอร์ เป็นผลอันเนื่องมาจากแดด และ เงา ตามอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ความน่าสนใจอยู่ที่ผู้นำไปใช้มีความรู้เท่าถึงเพียงไรในการจะสื่อความหมาย มีความระวังไหวหรือการศึกษาเพียงไรจึงจะรู้ทราบว่าไม่ได้กระทำการลงไปให้ระคายเคืองกระทบชิ่งถึงตัวองค์กร สินค้า หรือสถาบันโดยเจตนาเพียงแค่เห็นเป็นเรื่อง เท่ห์ เก๋ ชิค(chic)
ความน่าสนใจเพิ่งจะเริ่มเกิดมี จากนี้เราจะแอบติดตามดูอย่างเพลิดเพลิน
สัมภาษณ์ตัวเอง
ยังเรียบเรียงเรื่องที่จะเขียนไม่ออกจึงคิดว่าควรเริ่มต้นการกลับชาติมาบ่นใหม่ด้วย บทสัมภาษณ์ตัวเองคงหรูไม่เบาเผื่อมีวันไหนดัง หรือมีสาวออกมาแฉจะได้เตรียมคำตอบไว้แต่เนิ่น ๆ เริ่มกันเลยดีกว่า
1 Three things I can't leave without:
iPhone ::: ติดหนึบ เป็นนิยามที่ครอบคลุม
Star Soccer (รายวัน) ::: เอาเป็นว่ายอมอดข้าว ดีกว่าไม่ได้อ่านหนังสือเลยละกัน
เป้สะพายข้าง ::: ปีนึงหัวไหล่ห่างเป้ ไม่เกิน 20 วัน เอะอะหยิบเป้ไว้ก่อน
2 My secret talent is:
การใช้ และเล่นกับตรรกะ
3 I love watching...
กีฬา ::: มันสร้างแรงบันดาลใจ และส่งต่อเล่าขานออกไปได้อย่างทรงพลังและไร้ขอบเขตจริงๆ
4 I cry when I watch...
หนัง ละคร ::: เผลอปล่อยอารมณ์ไหลตามไปได้ทุกทีสิน่า
5 My favourite song to sing in the shower is...
พรานล่อเนื้อ / หนึ่งมิตรชิดใกล้
6 I wish I had more...
ความอดทน และ "ตูด" เป็นสองอย่างที่ขาดอยู่ ถ้าได้อย่างเดียวขอ "ตูด" มาก่อนเลย ปัจจุบันนั่งแล้วเจ็บมาก
7 I like my girl to wear...
เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่ๆ ชุดนอนหลวม ๆ แขนเสื้อยาวกว่าแขนจริง
8 The best thing to do for a woman is...
ตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ไม่สำคัญว่าจะเล็กหรือไร้เหตุผลแค่ไหนก็ตาม
9 The most important thing I learned from my father was...
การสังเกตุ ปฏิภาณ และทุกอย่างที่เป็นเรื่องดีในชีวิต
10 My favourite time of day is...
ช่วงเช้าอันสดชื่น ช่วงเย็นที่เหมาะกับทุกกิจกรรม และหัวค่ำอันแสนผ่อนคลาย
23.10.10
the yers
การสื่อสาร The Yers
เชิญทัศนาพลางคิดตาม
---------------------------------------
ใจเราคิดตรงกันแล้ว ใจเราคิดตรงกัน
ฉันคอยบอกเธอประจำ ทำไมไม่เคยรู้
บอกเธอย้ำเตือนเธอแล้ว บอกเธอย้ำเตือนเธอ
คอยบอกเธอประจำ ที่ข้างหู
ฉันคอยบอกเธอประจำ ทำไมไม่เคยรู้
บอกเธอย้ำเตือนเธอแล้ว บอกเธอย้ำเตือนเธอ
คอยบอกเธอประจำ ที่ข้างหู
ต้องทนกับความทรมาณ ต้องทนกับการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ
ปล่อยกายและใจให้เบิกบาน อย่ากลัวเถอะฉันไม่ทำร้ายใคร
หากว่านิ่งฉันไม่แคร์ไม่ใส่ใจ เธอคงไม่รู้ความจริงเป็นอย่างไร
ได้แต่เสียใจ… และเมื่อเธอรับข้อความที่ส่งไป
เธอจะได้เห็น รักฉันที่ข้างใน อยู่เต็มหัวใจ ไม่เคยจะแบ่งให้ใคร……
ได้แต่เสียใจ… และเมื่อเธอรับข้อความที่ส่งไป
เธอจะได้เห็น รักฉันที่ข้างใน อยู่เต็มหัวใจ ไม่เคยจะแบ่งให้ใคร……
-----------------------------------------------
14.10.10
after 131010
33 คน
69 วัน
622 เมตร
ใต้พื้นดิน
นี่มันพล็อต (Plot) หนังฮอลลีวู้ดชัด ๆ แต่พระเจ้ามันเป็นเรื่องจริงว่ะ
(ในขณะที่เรากำลังสนใจเรื่องมหากาพย์เด็กสามเดือน และโคลงยาวสาวตาแขก)
คนงานเหมืองในชิลีต้องติดอยู่ใต้พื้นดินตั้งแต่หนึ่งอาทิตย์ก่อนวันแม่
ลึกตามระยะที่บอกกันไปแล้วน่ะแหละ
คิดยังไงก็น่ากลัว น่าวิตก และหดหู่แทนทั้งตัวผู้ประสบเองและครอบครัว
การช่วยเหลือน่ะหรอ ขอโทษกว่าจะรู้ว่ามีคนรอดอยู่ข้างใต้พื้นดินที่เราเหยียบน่ะ
ก็ผ่านไปแล้ว 17 วันเชียวนะ
เรามาลองจินตนาการดูว่าเป็นเราจะทำยังงัยวะเนี่ย
17 วัน ก่อนที่จะมีคนรู้ว่าเราอยู่ลึกลงไปใต้ดินเกินครึ่งกิโล
อย่าว่าแต่ตะโกนเลย ต่อให้เปิดไซเรนยังไม่ได้ยินด้วยซ้ำไป
มนุษย์และสัตว์ทุกชนิดมีการเรียนรู้แบบที่เรียกว่า
เรียนรู้ที่จะสิ้นหวัง (Learned Helplessness)
คือ ถ้ารู้ว่าทำไปแล้วไร้ประโยชน์ไม่ได้ผลแน่นอน ก็จะเลิกพยายามกันดื้อ ๆ
คิดว่าหลายคนคงเป็น พูดแบบชาวบ้าน ๆ หน่อยก็ต้องเรียกว่า ถอดใจ นั่นแหละ
เวลาอย่างนั้นคงต้องอัญเชิญพระธรรมมาปลงกันอย่างเดียว
ก่อนหน้านี้เคยมีเด็กไม่ยอมกับชะตาชีวิต ถือรูปหนึ่งใบไล่ตามหาพ่อ
โดยถามเอาจากฝรั่งทั่วทั้งพัทยา จนเป็นข่าวใหญ่และท้ายที่สุดก็ได้เจอพ่อ (เคอิโงะ)
เด็กอีกคนทำลายความเชื่อเรื่องชาติพันธุ์ แสดงทั้งความรักในบ้านเกิด
และฝีมือที่มาจากการฝึกฝนแม้จะเป็นเรื่องที่คนอื่นมองว่าไร้สาระ (หม่อง--เครื่องบินกระดาษ)
แต่คราวนี้มันเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายที่มองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์
ต่อให้มีใจเยอะเท่าหน้าทศกรรณฐ์ ไม่ว่าใครก็คงต้องขออนุญาติถอดใจไปตาม ๆ กัน
ก่อนหน้านี้เคยมีเด็กไม่ยอมกับชะตาชีวิต ถือรูปหนึ่งใบไล่ตามหาพ่อ
โดยถามเอาจากฝรั่งทั่วทั้งพัทยา จนเป็นข่าวใหญ่และท้ายที่สุดก็ได้เจอพ่อ (เคอิโงะ)
เด็กอีกคนทำลายความเชื่อเรื่องชาติพันธุ์ แสดงทั้งความรักในบ้านเกิด
และฝีมือที่มาจากการฝึกฝนแม้จะเป็นเรื่องที่คนอื่นมองว่าไร้สาระ (หม่อง--เครื่องบินกระดาษ)
แต่คราวนี้มันเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายที่มองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์
ต่อให้มีใจเยอะเท่าหน้าทศกรรณฐ์ ไม่ว่าใครก็คงต้องขออนุญาติถอดใจไปตาม ๆ กัน
แต่ขอโทษ
"พ่อคนวัย 44 ปี ที่ทำงานเหมืองส่งลูกเรียนหมอในมหาวิทยาลัย
คุณพ่อลูกสาม ที่มีลูกอ่อน วัยสองขวบรอรับกลับบ้าน
น้องชายผู้มีพี่เป็นแรงบันดาลใจและตามฝันมาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่ชาย
ชายผู้ได้รับของขวัญวันเกิดสุดเซอร์ไพรซ์ เกือบ 700 เมตรใต้พื้นพิภพ
อดีตนักฟุตบอลท้องถิ่น ผู้หันมาทำงานเหมือง
พ่อลูกอ่อนที่ยังไม่เคยแม้แต่เห็นหน้าลูก
คุณปู่วัย 63 ผู้เป็นโรคปอด และเลื่อนจัดงานแต่งงานมาแล้วสองรอบ"
คนเหล่านี้อยู่ด้วยความหวังล้วน ๆ เปลี่ยนความหวังเป็นกำลังใจ
ส่งต่อขึ้นมาจากระยะกว่าครึ่งกิโลให้รู้สึกถึงได้เลย
เคยเครียดมาก ๆ เวลาเชียร์บอลทีมรักหรือน้องตัวเองแข่งกีฬา
โดยลืมนึกไปว่า หน้าที่เครียดน่ะ นักกีฬาแบกรับไปแล้ว
เราเป็นกองเชียร์ (Supporter) มีหน้าที่ง่าย ๆ คือ สนับสนุนสุดกำลัง
เอาให้มันสุด ๆ ไปเลย
เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน เชิญทั้ง 33 คน ไปดูบอลที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
(ตำนานทีมแมนยู--มีพ่อเป็นคนงานเหมืองถ่านหิน)
ดาบิด บีย่า กองหน้าทีมชาติสเปน มอบเสื้อพร้อมลายเซ็นต์เป็นของขวัญ
(ปู่เคยเป็นคนงานเหมือง)
บารัค โอบามา (USA) ,แองเจลา แมเคิล (GERMANY)
ยกย่องและสดุดีทั้ง 33 คน เยี่ยงวีรบุรุษ
ทีวีค่ายต่างๆ เสนอเงินถึง 250,000 ปอนด์ สำหรับคนงานแต่ละคนในการสัมภาษณ์
มีข้อเสนอโฆษณา ตั้งแต่เบียร์ไปจนถึงโฆษณาวิตามิน
เงินทองดูเหมือนจะธรรมดาไปแล้วกับผู้ก้าวผ่านประตูนรกมาได้
เมื่อรู้สึกได้ถึงสิ่งดี ๆ ตอนเป็นผู้รับ ก็จึงอยากเป็นผู้ให้
คนงานเหมืองเหล่านี้เตรียมแผนเอาไว้ว่าจะตั้งมูลนิธิ นำประสบการณ์รายวันที่ใต้ดินมาเขียนหนังสือ 1 เล่ม และโครงการอื่นๆอีก เช่น แผนการตั้งมูลนิธิของคนงานเหมือง
หันมารักกันซะทีเถอะ อย่ารอให้เกิดวิกฤติแล้วถึงจะสร้างโอกาส
และเมื่อไรที่ท้อใจช่วยนึกถึงเหตุการณ์นี้ไว้ เอากำลังใจจากคนเหล่านี้ไปใช้ตามสบาย
(ตำนานทีมแมนยู--มีพ่อเป็นคนงานเหมืองถ่านหิน)
ดาบิด บีย่า กองหน้าทีมชาติสเปน มอบเสื้อพร้อมลายเซ็นต์เป็นของขวัญ
(ปู่เคยเป็นคนงานเหมือง)
บารัค โอบามา (USA) ,แองเจลา แมเคิล (GERMANY)
ยกย่องและสดุดีทั้ง 33 คน เยี่ยงวีรบุรุษ
ทีวีค่ายต่างๆ เสนอเงินถึง 250,000 ปอนด์ สำหรับคนงานแต่ละคนในการสัมภาษณ์
มีข้อเสนอโฆษณา ตั้งแต่เบียร์ไปจนถึงโฆษณาวิตามิน
เงินทองดูเหมือนจะธรรมดาไปแล้วกับผู้ก้าวผ่านประตูนรกมาได้
เมื่อรู้สึกได้ถึงสิ่งดี ๆ ตอนเป็นผู้รับ ก็จึงอยากเป็นผู้ให้
คนงานเหมืองเหล่านี้เตรียมแผนเอาไว้ว่าจะตั้งมูลนิธิ นำประสบการณ์รายวันที่ใต้ดินมาเขียนหนังสือ 1 เล่ม และโครงการอื่นๆอีก เช่น แผนการตั้งมูลนิธิของคนงานเหมือง
หันมารักกันซะทีเถอะ อย่ารอให้เกิดวิกฤติแล้วถึงจะสร้างโอกาส
และเมื่อไรที่ท้อใจช่วยนึกถึงเหตุการณ์นี้ไว้ เอากำลังใจจากคนเหล่านี้ไปใช้ตามสบาย
13.10.10
Fuckbook
"เราใจร้อน เราถูกปิดปากเงียบมานาน อยู่มาวันหนึ่งมี hi5 , facebook เราก็ระดมเหมือนท่อน้ำแตก"
รศ.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์
เคยพูดเล่น ๆ กันว่าต่อไปอาจอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีตัวตนใน network พูดอย่างนี้อาจจะงง เอาให้ง่ายขึ้นชัดขึ้นก็ต้องบอกว่า ในอนาคตเราจำเป็นต้องมีสองตัวตน หนึ่งคือตัวเราของเราจริง ๆ ที่สัมผัสแตะต้องได้ และอีกหนึ่งคือตัวตนที่อยู่ในโลกออนไลน์
The matrix , Surrogate เป็นตัวอย่างหนังที่หยิบยกเรื่องที่กำลังจะกลายเป็นจริงมาเล่นล่วงหน้า ไม้ได้ล้อเล่นให้ตกใจ ทุกวันนี้ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงมาก เอกสารราชการเกือบทั้งหมดถูกบันทึกลงในโลกไซเบอร์ ข้อมูลส่วนตัวก็เก็บโดยสมาร์ทการ์ด ตั้งแต่บัตรประจำตัวประชาชนยันใบขับขี่ การทำธุระกรรมการเงินผ่านธนาคารสามารถเรียกดู และจัดการได้ที่หน้าจอบนฝ่ามือด้วยซ้ำไป นั่นแปลได้ว่าเราจำเป็นต้องมีตัวตนในโลกออนไลน์ไปแล้วไม่ใช้หรอ หยิบ The Matrix มาดูใหม่ในวันนี้ก็ยิ่งสะท้อนใจปนหดหู่ เกิดความรู้สึกอยากไปยู่ในไซออน (Zion--The Matrix 2542) มากเสียเหลือเกิน แม้ต้องแลกกลับความสะดวกสบายหลายอย่างในชีวิต และความบันเทิงทั้งหลายจะหายวับไปกับตาก็ตามที เทพยากรณ์ (The oracle) ให้ข้อเตือนใจสุดบรรเจิดว่า
99.9% ของปัจเจกชนยอมรับอาณัติ โดยยอมอยู่ภายใต้ระบบ
ตราบใดที่พวกเขายังมีโอกาสได้รับทางเลือก (Choices) ในหลากหลายแนวทาง
แม้จะเป็นทางที่ปราศจากหลักการและความเป็นไปได้อย่างที่สุด
ตราบใดที่พวกเขายังมีโอกาสได้รับทางเลือก (Choices) ในหลากหลายแนวทาง
แม้จะเป็นทางที่ปราศจากหลักการและความเป็นไปได้อย่างที่สุด
เห็นภาพสว่างวาบเข้ามาในหัวเลย ไอ้ Facebook นี่มันกลายเป็น ปากเสียงของคนไม่มีปากมีเสียง( Voice of Voiceless ) เพิ่มทางเลือกหรือช่องทางในการนำเสนอทั้งแนวความคิด ทั้งอัตลักษณ์(เฉพาะที่อยากให้สังคมรับรู้) การมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการนำเสนอตัวตนทั้งยังสามารถกำหนดภาพลักษณ์และทิศทางได้เองนั้นให้ความรู้สึกที่ดีแก่ผู้ใช้ สร้างความรู้สึกเหมือนมีทางเลือกเหมือนมีตัวตน ให้ความหลงใหลและคล้อยตาม ยอมรับโอกาสที่ระบบมอบให้ แน่สิ!! ตราบใดที่ยังอยู่ในเกมส์ เธอเหล่านั้นก็ยังเป็นผู้ได้รับโอกาสจากระบบ เพื่อใช้เป็นปากเป็นเสียง เป็นหน้าเป็นตา เป็นที่ยืนในสังคม(ที่สอง--ออนไลน์) แต่เมื่อไหร่เธอเพลี่ยงพล้ำ ถึงจะตาสว่างและรับรู้จนจบด้านว่าเธอก็เป็นเครื่องมือ เป็นตัวขับเคลื่อน โอเคกระแสที่เคลื่อนไปในทางดีก็มีถมถืด แต่กล้า ๆ หน่อยเหอะยอมรับมาเลยว่าเรื่องแย่ ๆ เน้นว่าของคนอื่นมันน่าสนใจกว่า หรือเธอจะเถียง
จากลูกของแหม่ม คัทลียา มารถมินิของกรรชัย มากระสือนาธาน แฟนของพลอย Little Voice ลูกของแอนนี่ เรื่อยมาจนถึงกรณีธัญญา นี่เขียนแบบส่งเดชคร่าว ๆ เท่าที่นึกได้ในฉับพลันนะ ไหนขอหน่อยไอ้ที่ดี ๆ ที่ช่วยกันขยายได้ขนาดนั้นแล้วสามารถนึกได้มาทันทีไม่พึ่ง google อ่ะ เท่าที่นึกรู้ก็แค่โครงการปลูกต้นไม้ของ ปตท. หนึ่งคนเขียนล้านคนอ่าน มันง่ายเสมอเวลาไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ผลกระทบตกอยู่กับใคร สุดท้ายคิดเอาเอง ไม่ได้ต่อต้านแต่รู้สึกรำคาญบ้างวันละหลายครั้ง ทุกวันนี้ก็ใช้อยู่นะ แต่อยากเตือนตัวเองไว้ดัง ๆ ว่าไม่เอานะแบบนั้น ไม่ยอมเป็นสื่อให้ใครตีกัน ไม่พาดพิงถึงใครไม่ว่าจะแย่แค่ไหน ระลึกไว้เลยว่าเรื่องของคนอื่น แปลว่า ตัวเองไม่เกี่ยว แค่สอดไปรู้ก็ทุเรศแล้ว Privacy แปลว่าส่วนตัว ไม่เกี่ยวว่าจะเป็น Public People ระดับ Super Star หรือสามล้อตัวประกอบก็ตาม
ที่ไหนไม่รู้แต่ในบ้านที่อยู่กันมา 26 ปี มีพื้นที่ส่วนตัวให้มากพอจะอยู่ต่อไปอย่างไม่เบื่อหน้ากัน
Subscribe to:
Posts (Atom)