18.12.15

The Forever One

หนึ่ง - เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เลือกขาย ยาป สตัมป์ ,เดวิด เบ็คแฮม ,รุด ฟาน นิสเตลรอย กระทั่งโละรอย คีน ซึ่งสโมสรก็ยินยอม ไม่อิดออดที่จะทำตาม ทุกตัวที่ว่ามานั่นระดับกระดูกสันหลังของทีมทั้งนั้น แถมขายตอนที่ยังเล่นอยู่ในฟอร์มที่ดีด้วย
สอง - พยายามนึกถึงทีมที่เลือกปลดผู้จัดการทีม เพราะขัดแย้งกับนักเตะ นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก - ลองนึกก็แล้วกัน คุณมีทีมที่มีนักเตะคุณภาพคับแก้ว เสียดายเหลือเกินที่ต้องขายทิ้งไป (ซึ่งอาจต้องขายทิ้งหลายคนด้วยล่ะ) ก็เลยเลือกที่จะปลดโค้ช แล้วเก็บนักเตะไว้ เก็บไอ้นักฟุตบอลที่เล่นเพื่อให้ทีมแพ้ เล่นให้ผลงานแย่ เพราะตั้งใจไม่เอาด้วยกับผู้ฝึกสอน โถ...พ่อคุณ ตลอดชีวิตนักกีฬากว่า 20 ปีของข้าพเจ้า นักกีฬาแบบที่พูดถึงเนี่ย โคตรน่ารังเกียจเลยว่ะ attitude แบบนี้ ในนักกีฬาที่ใช้กีฬาเป็นเครื่องมึงหากิน-บ้างเรียกมืออาชีพ ถรุย!!! ตอนเด็กๆพวกมึงรวมหัวกันสอบตกเพื่อไล่ครูประจำชั้นหรอ
สาม - นี่เองความแตกต่างระหว่างการเป็นสโมสรธรรมดา กับสถาบันหรือตำนานในอีกความหมายหนึ่ง เรื่องลึกจริงๆ เป็นยังไงคงไม่มีทางรู้แน่นอน มูรินโญ่ เอานักเตะไม่อยู่ ,ควบคุมทีมไม่ได้ ,ความสัมพันธ์กับผู้เล่นแย่ นิสัยเหี้ย ฯลฯ โธ่...คุณครับขนาดพี่นักเตะคนนั้นปี้เมียเพื่อนร่วมทีม ผมยังกล้ารับ และให้โอกาสเขาเป็นกัปตันทีมของเราอย่างกล้าหาญเลย ครั้งนี้ผมเข้าข้างบอสเต็มตัวว่ะ มิสเตอร์โรมันคุณเอาเงินมาบริหารทีม ซึ่งทีมมาไกลมากพวกเรารักและเคารพคุณจากหัวใจ คุณเป็นนักธุรกิจ คุณประเมินจากตัวแปรและความสุ่มเสี่ยงรอบด้านแล้ว จึงค่อยตัดสินใจ แต่คุณลืมประเมินหัวใจแฟนบอลว่ะ เราพร้อมอยู่กับทีม ร่วมทุกข์ร่วมสุข ทั้งโดนเพื่อนล้อเต็มไทม์ไลน์ เปลี่ยนโปรไฟล์กดดันยันส่งข้อความอินบ็อกซ์มากัดจิก ขนาดกลับบ้านยังมีน้องเคาะห้องมาถากถาง เราอยู่มาได้ตั้งแต่ยังไม่มีคุณ ตั้งแต่ไม่เคยมีลุ้นแชมป์อะไร บางปีดีหน่อยก็ได้ลุ้นบอลถ้วยเล็กๆ เราอยู่มาแล้ว คุณประเมินหัวใจพวกเราต่ำไป
สี่ - โชคดีบอส ที่นี่คุณเป็นตำนานเสมอ เสียดายที่เรามีเวลาด้วยกันไม่เท่า เวนเกอร์กับอาเซนอล หรือเซอร์กับแมนยู ครั้งแรกที่เราพบกันคุณประกาศว่าคุณ คือ "The Special One" สิบปีให้หลังคุณกลับมาพร้อมกับบอกพวกเราว่า ที่นี่ทำให้คุณเป็น "The Happy One" รู้อะไรมั้ยบอส เราไม่เคยตอบแทนอะไรคุณเลย นอกจากร้องเรียกชื่อคุณสุดเสียง เชื่อมั่นและยืนเคียงข่้างคุณสุดหัวใจ แล้วเราจะคิดถึงคุณ "The Forever One"

1.12.15

SS1254372

..ตื่นขึ้นในยามเช้า

ความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตข้ามเส้นแบ่งเวลาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปรากฏเป็นร่องลึกใต้ขอบตา

อาหารของพวกเขา กลบกลืนความทรงจำของราตรี ที่ขโมยความสดชื่นของยามเช้าไป ในขณะเดียวกันก็เติมความหมายของชีวิตและการเรียนรู้ที่จะเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆใส่มือเราติดมาด้วย

Fruity French Toast ที่เกลื่อนด้วยผลไม้คุ้นหน้าคุ้นตา เอาจริงๆครั้งแรกเข้าใจผิดว่า dry cranberries เป็นลูกเกด แต่ก็ถูกให้อภัยโดยรสชาติที่โอบอุ้มชีวิต หลังหมดพลังไปกับแสงสีของเมือง กาแฟดำเย็นในนามของอเมริกาโนยี่ห้ออาข่าอาม่า โดย เอสเอสหนึ่งสองห้าสี่สามเจ็ดสองปลุกดักแกมชักชวนให้ออกมาสำรวจเชียงใหม่ภาคเวลากลางวันได้อย่างนุ่มนวล ลองเถอะครับ อย่าเชื่อรีวิวใดๆ สาวเท้ายาวๆ แวะเข้าไปหย่อนตูดซึมซับ รับรสชาติ ชมและชิมทั้งอาหารเครื่องดื่ม ท่ามกลางพงไพรศิลปะโดยศิลปิน ลองเถอะ อย่ารี้รออยู่เลย




28.11.15

The Lobster




ก่อนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ได้เลือกกันไว้ก่อนหรือเปล่าฮะว่าถ้าโสดเกิน 45 วัน แล้วอยากเป็นตัวอะไร ถ้าคำตอบคือไม่ คำถามถัดไปก็คือ “ขุดหลุมศพให้ตัวเองแล้วหรือยัง” “เราจะกลายเป็นตัวอะไรถ้าไม่มีคู่” คิดว่าหลายคนคงเคยเล่นคำถามปลายปิด ที่มีตัวเลือกให้แค่สองข้อ อย่าง โค้กหรือเป็ปซี่ ทะเลหรือภูเขา กลางวันหรือกลางคืน อะไรเทือกนั้น นั่นละครัชหนังแม่งเป็นแบบนั้นเลย โลกของ The Lobster มีตัวเลือกให้คุณแค่ หาคู่ให้ได้หรือกลายเป็นสัตว์!!! โสดเมื่อไหร่ เตรียมโดนเชิญไปปรับทัศนคติที่โรงแรม (The Hotel) แล้วภายใน 45 วัน ถ้าหาคู่ใหม่ไม่ได้ ก็เลือกเอาเลยว่าอยากถูกเปลี่ยนเป็นตัวอะไร แต่เดี๋ยวก่อน...หากคุณแข็งแกร่งพอ ทางโรงแรมมีทางเลือกให้คุณยังสามารถต่ออายุความโสดได้ เพียงแค่คุณต้องออก “ล่าคนโสด” (ที่ไม่ยอมเข้าไปปรับทัศนคติกับโรงแรม) ล่ามาได้กี่คน ก็ได้จำนวนวันแห่งความโสดเพิ่มไปเท่านั้น (แม่งด่าคนที่ครองความโสดนานๆ ได้โคตรเจ็บ : ถ้ามึงไม่ไร้หัวใจ ก็แข็งแกร่งเกินไปที่จะมีคู่) เล่าไปเล่ามา หนังมันทั้งถากถางและเหยียดเย้ยความโรแมนติกของการมีความสัมพันธ์ ไม่พอยังขยี้ความเขลาของเราเองที่ติดอยู่กับตัวเลือกของความรัก ที่คล้ายจะมีเพียงสองข้อ คือหาคนรักซะหรือตัดใจพ่ายแพ้ไป (ในที่นี้คือเลือกไปเกิดเป็นสัตว์ที่ชอบที่ชอบ แค่ต้องขึ้นคานโสดยังไม่สาแก่ใจสินะ) กลางเรื่องเดวิด (Colin Farrell) พาตัวเองออกจากสังคมปฏิเสธตัวเลือกที่มีให้ หาข้อเสนอที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ หนีออกไปอยู่กับกลุ่มโสด ที่ซึ่งทั้งสิ่งแวดล้อมและกติกาการอยู่ร่วม ตรงกันข้ามกับโรงแรมและสังคมในหนังทุกอย่าง จะว่าได้ทางออกหรือหนีเสือปะจระเข้นั้น เก็บไว้ไปดูเองดีกว่า หนังกวนตีนเกินกว่าจะมาเล่าสปอยล์กันดื้อๆ หลายฉากในเรื่องเหมือนเอากระจกมาส่องใส่คนดู ชวนให้เราหันมาสังเกตุปฏิกิริยาของคนรอบข้าง อย่างฉากสาธิตว่าการมีคู่มันดีอย่างไรบนเวที ก็ดูโคตรจะเป็นโฆษณาชวนเชื่อเลย เห็นหลายคนขำ เดาว่าน่าจะเพราะมันตลกด้วยการแสดงแบบ over acting และสถานการณ์ที่แม่งเหมารวมไปเลยว่ามีคู่ดีกว่าอยู่ลำพัง ส่วนตัวแล้วขำไม่ออกง่ะ ลองขำดูสิว่าชีวิตโสดมันจะอันตรายขนาดนั้นเลยหรอวะ หึ หึ ก็มันเสือกเกิดขึ้นจริงในสังคมน่ะเส่ะ (รู้จักคนแก่หลายคนอยู่ ที่เวลาอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะรู้สึกไม่สบายใจไปหมด ใส่กลอนประตูบ้านหรือยัง โจรเข้ามาสู้ไม่ไหวนะ ไฟฉายอยู่ไหน เทียนมีหรือยังเผื่อไฟดับ โอย สารพัดจะระแวง) - จริงๆ การมีความรัก มีคู่ครอง มีความสัมพันธ์ นี่มันจำเป็นจริงๆป่ะวะ ซึ่งก็ดันเสือกมีสังคมบางประเทศที่บังคับให้ต้องมีคู่อยู่จริงในปัจจุบัน เอาให้นึกออกไวไว ก็เช่น นโยบายรัฐ ประเภทส่งเสริมการมีบุตรเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรอะไรนั่น แล้วอะไรเป็นหลักฐานการมีคู่วะ เป็นคนรักกันนี่ขึ้นอยู่กับหลักฐานการเอาใจใส่ประเภทไหน แค่การดูแลจิตใจและร่างกายเพียงพอแล้วรึปล่าวที่จะเป็นคนรัก หรือต้องมีหลักฐานการเป็นคู่ครอง อย่างทะเบียนสมรสหรอ ถ้ามีแล้วไม่ดูแลกันก็ถือว่ายังเป็นคนรักป่ะอ่ะ ถามมาถามไปเหมือนการเป็นโสดให้ได้อย่างแข็งแกร่งจะดีกว่ามาก The Lobster ถือกระจกเงาส่องสะท้อนไปที่คนดูจนถึงวินาทีสุดท้าย บทสรุปที่เราได้กับตัวเอง คือ เราต่างโหยหาใครอีกคน เพียงเพื่อขับไล่ความกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว มากไปหรือเปล่า เราตกหลุมพรางของความหวาดกลัวการไร้พวกพ้องและคนข้างกาย จนยอมแรกความสุข และสิ่งต่างๆของชีวิต ไปด้วยใช่หรือไม่ ที่แท้แล้วหากเราเผชิญหน้าและยอมรับความจริง ตัวเลือกย่อมไม่ได้ถูกจำกัดแค่เท่าในภาพยนต์ จะโสดเหงาไปอีก 45 ปี หรือออกไปไฟท์กับความรัก ก็เลือกมีความสุขด้วยตัวเองได้สิวะ อย่าลืม ปล.1 : ปีนี้ได้ดูหนังที่ตัวเอกประกอบอาชีพหลากหลายมาก ทั้ง สายลับติดยา ,นักพฤกษศาสตร์ที่เป็นมนุษย์อวกาศ ,นักการตลาดที่เป็นพ่อบ้าน full time และเรื่องนี้ ที่พ่อ David แกเป็นสถาปนิก แถมโสดด้วย ปล.2 : อีเดวิดนี่แพรวพราวมากนะ จับคาแรคเตอร์คนเก่งโคตร เข้าไปจีบใครก็เข้าท่อนฮุคเลย ปล.3 : มีคู่ไม่เท่ากับสุข และอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ทุกข์เสมอไปนะครัช ปล.4 : “หันหัวไปทางซ้าย สามที”

30.10.15

นิชากร

บ่ายสามของพรุ่งนี้เมื่อ 6 ปีก่อน (วันเวลาจริงๆผ่านไปไวกว่าโกหกเสมอ) บรรยากาศของวันนั้นพากันเลือนหายไปชนิดที่ตั้งใจจะคว้าไว้ก็เจอแต่ลม ที่จำวันนี้ได้แม่นกว่าวันอื่นหน่อยนึงเพราะมันเป็นวันถัดจากวันเกิดแก เราฉลองกันเล็กๆที่เมเจอร์รังสิตด้วยหนังผีตามรสนิยมของเราทั้งคู่ (ถึงฉันจะยืนยันมาแล้วหลายต่อหลายหนว่าไม่ถูกจริตกับหนังแนวนี้เลยสักนิดเดียวก็ตามที) และ "มหาลัยสยองขวัญ" ได้รับเกียรตินั้น ที่หนังสนุกเพราะเราทั้งคู่ชอบนักแสดงเป็นการส่วนตัว "จ๊ะ The mousses" แต่ความน่ากลัวอยู่ในระดับเฉยๆ ถ้าจะหลอกสาวไปใกล้ชิดคงได้แค่กุมมือ ฉันจำวันเกิดของแกได้ทุกปี แต่กลับจำวันนี้ได้แม่นกว่า

เดี๋ยวนี้ฉันกลายเป็นขาประจำหนังผีไปแล้วแกคงไม่รู้สินะ (ก็เพราะแกนั่นล่ะ)

เดี๋ยวนี้ฉันกลัวความสูงน้อยลงและเริ่มคุ้นเคยกลับเครื่องเล่นหวาดเสียวสารพัดแล้วล่ะ

เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเรียก "ไอ้พี่ตุน" แล้วเหงาหูชะมัด

เดี๋ยวนี้แกสบายดีมั้ย อ้วนเหมือนขึ้นป่ะวะ หน้าบานกว่าเดิมมั้ย ชอบรูปดาวเหมือนเดิมมั้ย ปีนี้ได้ไดอารี่เป็นของขวัญจากคนนั้นหรือยัง บังคับใครถอนเต่าหรือป่าว

เดี๋ยวนี้แกเป็นไงบ้างฉันไม่รู้เลยจริงๆ ถึงฉันจะไม่ใช่ผู้มีคาถาอาคมอะไร แต่ฉันจะแช่งให้แกมีความสุขเดี๋ยวนี้

สุขสันต์วันเกิด...เดี๋ยวนี้

#แด่ผู้สร้างความสุขให้ตนเองได้

26.10.15

Sweetest Moment

ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นเอามากถึงขนาดนี้


เมื่อคืนไปงานแต่งหรูๆในกรุง เห็นทุกอย่างตามขนบสมัยนิยมเค้าชอบกัน organizer จัดงานเนี้ยบ อาหารไม่อั้น พิธีไม่บกพร่อง แต่เรากลับรู้สึกว่ามันเขินๆ มันเหงา และแข็งๆ เหมือนจัดให้คนอื่นดู อารมณ์มันรวนไปหมดเลย ซึ้งก็ซึ้งนะแต่ก็มีรู้สึกปลอมๆปนเข้ามา เหมือนจัดมาแล้วว่าตรงนี้ต้องซึ้ง ตรงนี้พีคนะคะ ประมาณนักแสดงซ้อมมา
สำหรับชีวิตตัวเอง(หมายความถึงแค่ตัวเองจริงๆนะ) คิดว่าเหลืองานใหญ่ในชีวิตอีกแค่สองงาน งานแต่ง กับงานศพ อันหลังนี่ได้แค่เตรียมไว้ ไม่น่าได้ไปร่วมงาน (ขืนดันทุลังตะออกมารับแขกในงานหลังนี่คงน่ากลัวพิลึก) โอเค หยุดตลกก่อน มาคุยเรื่องงานแรกกัน เป็นที่แน่นอนแล้วว่ามันต้องเกิดขึ้น ทีนี้มันควรจะออกมาหน้าตาเป็นยังไง พิธีการจ๋า มี vdo presentation สวยๆ ขับเน้นที่คู่บ่าวสาว แบบสมัยนิยม หรือเรียบง่ายพอเป็นพิธี คิดวนไปวนมา(ระหว่างตักบุฟเฟต์ในงานกิน) เหลือบไปเห็นผู้ปกครองบ่าวสาวและเพื่อนๆเค้าถ่ายรูปกัน ถ่ายเสร็จก็บูมเสียงดัง กระจ่างใจเลย นี่มันงานเลี้ยงรุ่นที่มีลูกบังหน้านี่หว่า 55555 หัวใจร่ำร้องเลยฮะ จะเอางานแบบนี้ งานที่ตอบแทนคนที่เลี้ยงเรามา งานที่มีไว้ขอบคุณสิ่งแวดล้อม ที่ปั้นให้เราเป็นเรา งานที่เอาไว้ไปอ้างมาสังสรรค์กัน ‪

#‎ยิ้มกว้างแล้วกดมือถือเซลฟี่กับพวกลุงเค้าเบาๆ‬



22.9.15

‪‎Freelance‬

#‎Freelance‬
ฉากงานศพพ่อพงศธร (เพื่อนยุ่น) อาจเป็นภาพใหม่ไม่ชินตาของใครหลายคน พิธีศพแบบจีน ลูกชายคนโตจะ ป้อนข้าว ป้อนน้ำ เอาตะเกียบคีบข้าว เต้าหู้ น้ำตาลทรายแดงไปแตะริมฝีปากผู้ตาย ถือเป็นการทดแทนบุญคุณ ที่เค้าเลี้ยงดูเรามา
ทำไม นวพล ถึงเลือกฉายภาพงานศพแบบจีนในหนังของตัวเอง มากกว่างานแบบพุทธที่มีภาพจำอันชัดเจน ประเด็นทางครอบครัวนี้เราสนใจเป็นการส่วนตัว ด้วยหนังจากค่ายนี้หลายเรื่องดูมีลักษณะของผู้มีปมเกลียดพ่อ (oedipus) เช่น ความสัมพันธ์ของครอบครัวทั้งเพื่อนบ้านและตัวเอกในลัดดาแลนด์ และโดยส่วนใหญ่บทบาทตัวละครที่เป็นพ่อของ GTH มักจะเป็นพ่อแบบที่แบนราบไม่ก็ติดกับความเป็นพ่อแบบที่สังคมยัดเยียดให้ อารมณ์แบบ first fatherhood moment พยายามดัดตัวเองให้มีความเป็นพ่อ เป็นผู้นำครอบครัว ฉากงานศพนี้คล้ายจะสะท้อนให้เห็นภาพความสัมพันธ์ครอบครัวที่มีลำดับและสายใย(ผ่านพิธีกรรมแบบจีน-ซึ่งเชื่อว่าต่อให้ไม่รู้ว่าตัวละครทำอะไรอยู่ ก็ถือโอกาสสะกิดให้สงสัยและกลับไปหาคำตอบ)
ยุ่นพาตัวเองออกไปไกลจากจุดนั้น หนังคุยกับเราผ่านความคิดของยุ่น แต่ตลอดทั้งเรื่องยุ่นไม่เคยเอ่ยถึงพ่อ(เอาว่าขนาด ‪#‎พี่สุชาติ‬ ยังมีตัวตน) แม้แต่รูปถ่ายที่แม่ฝาก retouch ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับ "ภาพครอบครัว" เลย
จุดเปลี่ยนหลังจากที่ยุ่นหัวกระแทกโต๊ะแล้ว เกิดมรณานุสติระลึกได้ถึงการมีอยู่ของ "สายใย"/"ความสัมพันธ์" ที่ตัวเองมี สิ่งนั้นเหมือนเป็นตัวแทนของครอบครัวเท่าที่ยุ่นนึกออก ความสัมพันธ์ที่เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองก็ครอบครองไว้ มันเป็น connection ไม่ใช่ bonding โชคดีที่มันเป็นภาพยนตร์ และโชคดีที่ นวพล ไม่ใจร้ายจนเกินไป ยุ่นจึงยังได้ไปต่อ อาจจะก้าวข้ามบางอย่างในจิตใจของตน หันกลับมาทบทวนและหวนมองรอบๆตัวเอง แต่บางชีวิตไม่ได้ถูกกำกับโดย นวพล ถ้ามีโอกาสจงคว้าไว้ ถ้าคิดได้ไม่ว่าจะตอนไหนไม่มีสายเกินไป อย่าให้คนที่คาดหวังกับเราต้องผิดหวัง และก็อย่าให้ตัวเองต้องจบชีวิตไปลำพัง ดูแลคนใกล้ตัวอย่าให้ใครต้องกลายเป็น "ผู้ป่วยนอก(วงกลม)"
ปล.ใจแลกใจ บางเพลงเคยว่าไว้ และบางใครเคยเอ่ยถึง


11.6.15

มิกะมิสยูววววว

ข้าพเจ้าถูกห้อมล้อมด้วยความพยายามของคนหลายคน

คนสำคัญที่เป็นทั้งผู้ร่วมงาน ,พาร์ทเนอร์ ,คู่หู ,คนรักและคนเคยรัก  ผลักดันทุกอย่าง ใส่ใจกับเราในทุกเรื่อง ไล่ไปอาบน้ำบ้างล่ะ ตีมือเวลาเผลอกัดเล็บบ้างล่ะ บางเรื่องก็ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิมจนต้องนั่งนึกอยู่นานว่า เอ เราทำอย่างที่มันพูดจริงหรอวะ บางเรื่องก็ใหญ่โต ระดับต้องจัดเวรยามเฝ้าระวังเลยก็มี การขอบคุณ ขอโทษ ไถ่ถามและลามปามไปจนถึงเล่าเรื่องแลกเปลี่ยนสิ่งที่ไปพบเจอมาในทุกเรื่องกับทุกคนเหล่านั้น เป็นสิ่งซึ่งสมควรกระทำ ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีรับฟังเรา (as me) หรือไม่ก็ตาม
สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้  เราเดินทางไปหลายที่ของประเทศไทย  พบเจอคนใหม่ๆ และใครเดิมๆ  คละเคล้ากันไป  บางความสัมพันธ์เติบโตงอกเงยขึ้นด้วยการเดินทาง  บางความสัมพันธ์ได้รับการเยียวยา  และสมานรอยร้าว  ยังอีกมากความสัมพันธ์ที่ทั้งรอ และ/หรือ ไม่คาดหวังการกลับไปปรากฎตัวของเรา  บัดนี้ ข้าพเจ้าสูดหายใจลึกกักตุนแรงบันดาลใจเคล้าอายฝนต้นเดือนหกเข้าไปจนสำลักปอด  จึงยินดีประกาศดังๆว่า "ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว"  และจะเดินทางไปหาทุกคนอย่างตั้งใจ  ไม่ว่าเจ้าของเรือนจะพร้อมต้อนรับหรือไม่ก็ตาม







มิกะมิสยูววววว