5.8.16

Creature Designers - The Frankenstein Complex

“Just because you can have a hundred werewolves running across the ceiling, doesn’t mean you should.” --- Rick Baker


Creature Designers - The Frankenstein Complex (Movie - 2015)
-----------------------------------------------------------

คุณอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อใครในหนังสารคดีเรื่องนี้เลย แต่คุณต้องเคยเห็นงานของพวกเขามาก่อนแน่ ๆ (ยิ่งถ้าเคยร่วมยุค 90 มาด้วยกันล่ะก็) เอางี้นะ ยังจำฉาก T-Rex งับตัวละครที่โชคร้ายที่สุดในโลกภาพยนตร์คนนั้นได้ไหมครับ (ตายขณะปลดทุกข์) ดูกี่ทีก็คงเดาได้ไม่ยากว่าฉากนั้นทำในคอมพิวเตอร์ แต่รู้หรือเปล่าว่า ฉากที่ velociraptor ตามตัวละครเด็กเข้ามาในครัวแล้วเงยหน้าร้องเรียกพวกน่ะ ใช้คนใส่ชุดยางมาแสดงนะ
                        
Matt Winston เล่าถึงตอนที่ Jurassic Park ออกฉาย แล้วผู้คนพากันพูดถึงการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยสร้างเทคนิคต่าง ๆ ในหนัง (CGI – Computer-generated imagery) พ่อของเขากลับเกิดความรู้สึกสองอย่างพร้อม ๆ กัน อย่างแรกคือพยายามอย่างหนัก เพื่อบอกโลกว่าพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้นะ สิ่งมีชีวิตที่เห็นในนั้นก็สร้างขึ้นมาจริง ๆ ด้วยฝีมือพวกเรานะ และอย่างที่สองคือ ลงทุนกับคอมพิวเตอร์แม้ว่าจะเพิ่งรู้สึกแย่กับมันมามากแค่ไหนก็ตาม ณ เวลานั้นสิ่งที่เขาคิดมีเพียงอย่างเดียว “Adapt or die.”
                           
หนังเล่าเรื่องตาม Timeline ประวัติศาสตร์การใช้เอฟเฟคในภาพยนตร์ เฉพาะเจาะจงที่เทคนิคพิเศษในการสร้างสิ่งมีชีวิตที่ดูแปลกตาตั้งแต่ แมลง ,ไดโนเสาร์ ,ปิศาจ ,หุ่นยนต์ ไปจนมนุษย์ต่างดาว ส่วนตัวพยายามจะเลี่ยงใช้คำว่า สัตว์ประหลาด เพราะมันออกจะดูแคบไปสักหน่อยที่จะเลือกใช้แค่คำนี้ และตลอดทั้งเรื่อง เหล่านักสร้างหุ่นจากจินตนาการใช้คำเรียกผลงานของตัวเองว่า Creatures ที่สามารถใช้แทนสิ่งที่ทำขึ้น เพื่อให้มีชีวิตได้ทุกรูปแบบ จะสวยงามหรือน่าหวาดหวั่น พวกเขาก็รักมันเท่า ๆ กัน
เราสงสารและรู้สึกเศร้ามาก ๆ ตอนเห็นสายตาของลุง Phil Tippett ที่เคยถึงกับล้มป่วยเมื่อรู้ว่าตัวเอง ถูกแย่งงานโดย CGI แต่เราก็ยังเห็นร่องรอยความสุขจาก Stand Winston ทั้งที่แกปรากฏในเรื่องแค่เป็นภาพฟุตเทจ เรายิ้มและจำแกได้แม่นเพราะลุงแกดูโคตรมีความสุขเลย วิ่งเล่นกับหุ่นที่ตัวเองสร้างอย่างกับเด็กเห่อของ และไม่แปลกใจที่บริษัทของแกที่ลูกชายมาสืบทอด มีที่ทางอย่างมั่นคงอยู่ในวงการ ก็อย่างที่แกเคยพูดไว้แหละ ถึงมันจะเจ็บแค่ไหนถ้าไม่ปรับตัวก็ถูกทิ้งให้ตาย เลือกเอา

หลายคนในเรื่องระบายความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ บ่นถึงความฉาบฉวยของโลกปัจจุบัน เลยไปจนถามหาความเคารพในงานศิลปะ คอมพิวเตอร์เป็นประตูบานใหม่อีกบาน เปิดโลกให้กว้างออกจากขีดจำกัดของงานสร้างแบบเดิม แต่สุดท้ายก็ยังต้องพึ่งฝีมือคน คอยคิดและกำกับทั้งทิศทาง การดำเนินเรื่อง และองค์ประกอบศิลป์ เราทุกคนต่างมีวันเวลาเป็นของตัวเอง การให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองรักนั้นต่างหาก ที่จะพาเราไปอยู่ตรงไหนสักจุดจนได้




ฉาก เวโลซีแรพเตอร์ ที่อ้างอิงถึง

https://www.youtube.com/watch?v=dnRxQ3dcaQk

1.8.16

Enough for life

"เรากำลังอยู่ในยุคที่อาหารเป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่ iPhone ทำไม่ได้"
-- Danny meyer

Date: 31 July 2016
Place: Enough for Life

The place

เราเชื่อกันว่า-อย่างน้อยก็เราสองคนอ่ะนะ อากาศหลังฝนและอาการเพลียจากการตื่นเช้า สามารถแก้ให้หาย ได้ด้วยอาหารดี ๆ และ "Keumbung-Eo Kitchen" ดูเหมือนจะตอบโจทย์นั้นได้ดีที่สุด

หลังจากเสร็จธุระในตอนบ่าย (จริง ๆ คือเล่นกับหมาและเผลอหลับจนเย็น) ก็พากันขับรถออกจากบ้าน ตรงดิ่งตามพิกัดไปแถวหลังวัดร่ำเปิง นอกจากหิวแล้ว อีกสาเหตุสำคัญก็คือ เราเล็งร้านนี้กันไว้ตั้งแต่ก่อนจะมีวันหยุดเปื่อย ๆ ให้ได้ออกเตร่แบบนี้ (ซะที)
ร้าน Keumbung-Eo Kitchen อยู่บนพื้นที่เหมือนเป็น "ข่วงบ้าน" (community space) แต่พิเศษกว่าที่อื่นเพราะเป็น "ชุมชนเกาหลี" เรียกว่านิคมเกาหลีเพื่อชาวเกาหลีในเชียงใหม่ก็ว่าได้ ทั้งบริเวณแบ่งออกเป็น 3 zones มีโฮสเทลพร้อมสระว่ายน้ำ ,ร้านกาแฟขนาดพอดีกับฝีมืออย่าง day off day และร้านอาหาร Korean Homemade Style ร้านนี้เลย

เมนูของร้านก็แล้วแต่วันนะ ช่วงนี้ยังอินดี้อยู่ ได้ลองข้าวกับแซลม่อนย่าง ราดน้ำซอส กินแกล้มไชเท้าดอง และกระเจี๊ยบย่าง อีกเซ็ทเป็นไก่ผัดซอสเกาหลีแบบ BBQ แน่นอนทั้งหมดมาพร้อม ซุป ,กิมจิ และเครื่องเคียงสารพัด ปิดท้ายวันนี้ด้วย เงาะ มะม่วง มะละกอสุก ราดเสาวรสผสมกับน้ำผึ้ง ให้ล้างคอ มีวันดีดีกับอาหารอีกวันแล้วสินะ



25.7.16

Things to come

Things To Come
#ชีวิตนี้มีความสตรอง




"นี่แหละคือความเสียใจ"

ก่อนตีตั๋วเข้าโรง ก็คิดว่าจะต้องน้ำตานองหน้าเละเทะแน่นอน แต่พอดูจนจบ หลังพาตัวเองออกมาจากโรงแล้ว กลับพบว่า เออว่ะ นี่แหละชีวิต ไอ้บรรดาอารมณ์ฟูมฟายเสียใจร้องไห้เนิ่นนานแบบตอนสมัยวัยรุ่นเนี่ย พออายุสักประมาณสามสิบก็แทบไม่เหลือแล้ว ยิ่งถ้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับ Nathalie (Isabelle Huppert) ในเรื่องล่ะก็ คงเห็นและผ่านเรื่องต่าง มามากพอ จนเรียนรู้ได้ว่าชีวิตต้องไปต่อสินะ
หนังเล่าเรื่องผู้หญิงเลยวัยกลางคนมาหน่อย ที่ผจญสารพัดชะตากรรม ตั้งแต่ สามีคบซ้อน เท่านั้นไม่พอยังมาบอกเลิก ขอแยกไปอยู่กับกิ๊กใหม่อีก งานที่ทำมาทั้งชีวิต ก็มีการเปลี่ยนแปลงนู่นนี่นั่นสารพัดให้จุกจิก ต้องดูแลแม่ที่ป่วยซึมเศร้า งอแง จนสุดท้ายก็เสียแม่ไป ถ้าใครกำลังคิดในใจว่าหนังอะไรวะใจร้ายฉิบเป๋ง เอ่อ เอาเข้าจริงชีวิตมันก็ประมาณนี้แหละ ไม่มีเวลาให้เสียใจกับอะไรนาน เดี๋ยวก็มีเรื่องใหม่มาเสิร์ฟให้ได้เสียน้ำตาอยู่เรื่อยจริง

เราชอบ เจ้าปองโดรา (Pandora) แมวมรดกขนดำ อ้วนฉุ ที่ไม่ได้โผล่มาแค่ประกอบเรื่องเฉย สำหรับเราคิดว่ามันช่วยดำเนินเรื่องให้เข้าใจง่ายขึ้นด้วยซ้ำไป ทั้งที่แค่ชื่อก็ไม่ชวนให้รับเลี้ยงแล้ว ตามตำนานกรีก แพนโดร่า เป็นชื่อหญิงสาวที่เทพประธานให้กับสองพี่น้องผู้สร้างมนุษย์ และมอบกล่องให้นางติดตัวมาด้วยหนึ่งใบ พร้อมกำชับว่าห้ามเปิด แน่นอนสุดท้ายนางก็เปิดอยู่ดี ภายในกล่อง เต็มไปด้วยควันสีดำอันนำมาซึ่ง ความทุกข์โศก โรคภัยไข้เจ็บ ความอดอยาก ความผิดหวัง ความชั่วร้ายและปีศาจต่าง แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น ยังมีเรื่องดี ที่เหลืออยู่ก้นกล่องเป็นแสงสีเขียวน้อย พวกเราเรียกสิ่งนั้นว่าความหวังเจ้าเหมียวแก่อ้วนดำ ชวนให้คิดอะไรหลายอย่างในบทสนทนางง เหล่านั้น ทั้งแนะนำให้รู้จักความหวังในชีวิต ถ้าไม่ได้คิดลึกไปเองอ่ะนะ อย่างช็อตโชว์จับหนูกลับมา แล้วร้องให้ Nathalie ชมเนี่ย สะเทือนจนจุกมาถึงลิ้นปี่เลย เหมือนโดนแมวด่า "ถึงฉันจะแก่ อ้วน ไม่น่ารักแล้วไงฟะ ฉันก็ยังเป็นแมวที่จับหนูได้เก่งนี่หว่าดูสิ" สัญชาติญาณการเอาตัวรอดมันไม่ได้หายไปกับสิ่งแวดล้อมที่ลักพาเธอไปหรอก ลองทบทวนดู!!!

ขณะที่ส่องดูชีวิต Nathalie ไป ก็มีทั้งเข้าใจชวนให้คิดตาม และฉงนสงสัยไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม อืม วิชาปรัชญาก็คงประมาณนี้มั้ง ถ้ามีข้อข้องใจสงสัยอะไรในชีวิต ลองกลับบ้านดู ลองมุ่งออกป่าหาธรรมชาติดู ลองแม้แต่พูดคุยกับทั้งสิ่งอันเป็นที่รักเป็นที่สุด หรือสิ่งที่จงชังจนอยากเบือนหน้าหนี ก็ขอให้ลอง เพราะชีวิตต้องผ่านสิ่งเหล่านั้นมันถึงจะเป็นชีวิต เราคงหนีและเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นเราในปัจจุบัน

ปล.สุดท้ายมาเสียน้ำตาแค่สามฉาก ตอนนางสะอื้นคนเดียวกอดปองโดรา ,ตอนนางได้หลานแล้วลูกสาวร้องไห้หนักมาก แล้วก็ตอนสุดท้ายที่เพลงมันจับใจ

18.12.15

The Forever One

หนึ่ง - เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เลือกขาย ยาป สตัมป์ ,เดวิด เบ็คแฮม ,รุด ฟาน นิสเตลรอย กระทั่งโละรอย คีน ซึ่งสโมสรก็ยินยอม ไม่อิดออดที่จะทำตาม ทุกตัวที่ว่ามานั่นระดับกระดูกสันหลังของทีมทั้งนั้น แถมขายตอนที่ยังเล่นอยู่ในฟอร์มที่ดีด้วย
สอง - พยายามนึกถึงทีมที่เลือกปลดผู้จัดการทีม เพราะขัดแย้งกับนักเตะ นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก - ลองนึกก็แล้วกัน คุณมีทีมที่มีนักเตะคุณภาพคับแก้ว เสียดายเหลือเกินที่ต้องขายทิ้งไป (ซึ่งอาจต้องขายทิ้งหลายคนด้วยล่ะ) ก็เลยเลือกที่จะปลดโค้ช แล้วเก็บนักเตะไว้ เก็บไอ้นักฟุตบอลที่เล่นเพื่อให้ทีมแพ้ เล่นให้ผลงานแย่ เพราะตั้งใจไม่เอาด้วยกับผู้ฝึกสอน โถ...พ่อคุณ ตลอดชีวิตนักกีฬากว่า 20 ปีของข้าพเจ้า นักกีฬาแบบที่พูดถึงเนี่ย โคตรน่ารังเกียจเลยว่ะ attitude แบบนี้ ในนักกีฬาที่ใช้กีฬาเป็นเครื่องมึงหากิน-บ้างเรียกมืออาชีพ ถรุย!!! ตอนเด็กๆพวกมึงรวมหัวกันสอบตกเพื่อไล่ครูประจำชั้นหรอ
สาม - นี่เองความแตกต่างระหว่างการเป็นสโมสรธรรมดา กับสถาบันหรือตำนานในอีกความหมายหนึ่ง เรื่องลึกจริงๆ เป็นยังไงคงไม่มีทางรู้แน่นอน มูรินโญ่ เอานักเตะไม่อยู่ ,ควบคุมทีมไม่ได้ ,ความสัมพันธ์กับผู้เล่นแย่ นิสัยเหี้ย ฯลฯ โธ่...คุณครับขนาดพี่นักเตะคนนั้นปี้เมียเพื่อนร่วมทีม ผมยังกล้ารับ และให้โอกาสเขาเป็นกัปตันทีมของเราอย่างกล้าหาญเลย ครั้งนี้ผมเข้าข้างบอสเต็มตัวว่ะ มิสเตอร์โรมันคุณเอาเงินมาบริหารทีม ซึ่งทีมมาไกลมากพวกเรารักและเคารพคุณจากหัวใจ คุณเป็นนักธุรกิจ คุณประเมินจากตัวแปรและความสุ่มเสี่ยงรอบด้านแล้ว จึงค่อยตัดสินใจ แต่คุณลืมประเมินหัวใจแฟนบอลว่ะ เราพร้อมอยู่กับทีม ร่วมทุกข์ร่วมสุข ทั้งโดนเพื่อนล้อเต็มไทม์ไลน์ เปลี่ยนโปรไฟล์กดดันยันส่งข้อความอินบ็อกซ์มากัดจิก ขนาดกลับบ้านยังมีน้องเคาะห้องมาถากถาง เราอยู่มาได้ตั้งแต่ยังไม่มีคุณ ตั้งแต่ไม่เคยมีลุ้นแชมป์อะไร บางปีดีหน่อยก็ได้ลุ้นบอลถ้วยเล็กๆ เราอยู่มาแล้ว คุณประเมินหัวใจพวกเราต่ำไป
สี่ - โชคดีบอส ที่นี่คุณเป็นตำนานเสมอ เสียดายที่เรามีเวลาด้วยกันไม่เท่า เวนเกอร์กับอาเซนอล หรือเซอร์กับแมนยู ครั้งแรกที่เราพบกันคุณประกาศว่าคุณ คือ "The Special One" สิบปีให้หลังคุณกลับมาพร้อมกับบอกพวกเราว่า ที่นี่ทำให้คุณเป็น "The Happy One" รู้อะไรมั้ยบอส เราไม่เคยตอบแทนอะไรคุณเลย นอกจากร้องเรียกชื่อคุณสุดเสียง เชื่อมั่นและยืนเคียงข่้างคุณสุดหัวใจ แล้วเราจะคิดถึงคุณ "The Forever One"

1.12.15

SS1254372

..ตื่นขึ้นในยามเช้า

ความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตข้ามเส้นแบ่งเวลาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปรากฏเป็นร่องลึกใต้ขอบตา

อาหารของพวกเขา กลบกลืนความทรงจำของราตรี ที่ขโมยความสดชื่นของยามเช้าไป ในขณะเดียวกันก็เติมความหมายของชีวิตและการเรียนรู้ที่จะเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆใส่มือเราติดมาด้วย

Fruity French Toast ที่เกลื่อนด้วยผลไม้คุ้นหน้าคุ้นตา เอาจริงๆครั้งแรกเข้าใจผิดว่า dry cranberries เป็นลูกเกด แต่ก็ถูกให้อภัยโดยรสชาติที่โอบอุ้มชีวิต หลังหมดพลังไปกับแสงสีของเมือง กาแฟดำเย็นในนามของอเมริกาโนยี่ห้ออาข่าอาม่า โดย เอสเอสหนึ่งสองห้าสี่สามเจ็ดสองปลุกดักแกมชักชวนให้ออกมาสำรวจเชียงใหม่ภาคเวลากลางวันได้อย่างนุ่มนวล ลองเถอะครับ อย่าเชื่อรีวิวใดๆ สาวเท้ายาวๆ แวะเข้าไปหย่อนตูดซึมซับ รับรสชาติ ชมและชิมทั้งอาหารเครื่องดื่ม ท่ามกลางพงไพรศิลปะโดยศิลปิน ลองเถอะ อย่ารี้รออยู่เลย




28.11.15

The Lobster




ก่อนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ได้เลือกกันไว้ก่อนหรือเปล่าฮะว่าถ้าโสดเกิน 45 วัน แล้วอยากเป็นตัวอะไร ถ้าคำตอบคือไม่ คำถามถัดไปก็คือ “ขุดหลุมศพให้ตัวเองแล้วหรือยัง” “เราจะกลายเป็นตัวอะไรถ้าไม่มีคู่” คิดว่าหลายคนคงเคยเล่นคำถามปลายปิด ที่มีตัวเลือกให้แค่สองข้อ อย่าง โค้กหรือเป็ปซี่ ทะเลหรือภูเขา กลางวันหรือกลางคืน อะไรเทือกนั้น นั่นละครัชหนังแม่งเป็นแบบนั้นเลย โลกของ The Lobster มีตัวเลือกให้คุณแค่ หาคู่ให้ได้หรือกลายเป็นสัตว์!!! โสดเมื่อไหร่ เตรียมโดนเชิญไปปรับทัศนคติที่โรงแรม (The Hotel) แล้วภายใน 45 วัน ถ้าหาคู่ใหม่ไม่ได้ ก็เลือกเอาเลยว่าอยากถูกเปลี่ยนเป็นตัวอะไร แต่เดี๋ยวก่อน...หากคุณแข็งแกร่งพอ ทางโรงแรมมีทางเลือกให้คุณยังสามารถต่ออายุความโสดได้ เพียงแค่คุณต้องออก “ล่าคนโสด” (ที่ไม่ยอมเข้าไปปรับทัศนคติกับโรงแรม) ล่ามาได้กี่คน ก็ได้จำนวนวันแห่งความโสดเพิ่มไปเท่านั้น (แม่งด่าคนที่ครองความโสดนานๆ ได้โคตรเจ็บ : ถ้ามึงไม่ไร้หัวใจ ก็แข็งแกร่งเกินไปที่จะมีคู่) เล่าไปเล่ามา หนังมันทั้งถากถางและเหยียดเย้ยความโรแมนติกของการมีความสัมพันธ์ ไม่พอยังขยี้ความเขลาของเราเองที่ติดอยู่กับตัวเลือกของความรัก ที่คล้ายจะมีเพียงสองข้อ คือหาคนรักซะหรือตัดใจพ่ายแพ้ไป (ในที่นี้คือเลือกไปเกิดเป็นสัตว์ที่ชอบที่ชอบ แค่ต้องขึ้นคานโสดยังไม่สาแก่ใจสินะ) กลางเรื่องเดวิด (Colin Farrell) พาตัวเองออกจากสังคมปฏิเสธตัวเลือกที่มีให้ หาข้อเสนอที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ หนีออกไปอยู่กับกลุ่มโสด ที่ซึ่งทั้งสิ่งแวดล้อมและกติกาการอยู่ร่วม ตรงกันข้ามกับโรงแรมและสังคมในหนังทุกอย่าง จะว่าได้ทางออกหรือหนีเสือปะจระเข้นั้น เก็บไว้ไปดูเองดีกว่า หนังกวนตีนเกินกว่าจะมาเล่าสปอยล์กันดื้อๆ หลายฉากในเรื่องเหมือนเอากระจกมาส่องใส่คนดู ชวนให้เราหันมาสังเกตุปฏิกิริยาของคนรอบข้าง อย่างฉากสาธิตว่าการมีคู่มันดีอย่างไรบนเวที ก็ดูโคตรจะเป็นโฆษณาชวนเชื่อเลย เห็นหลายคนขำ เดาว่าน่าจะเพราะมันตลกด้วยการแสดงแบบ over acting และสถานการณ์ที่แม่งเหมารวมไปเลยว่ามีคู่ดีกว่าอยู่ลำพัง ส่วนตัวแล้วขำไม่ออกง่ะ ลองขำดูสิว่าชีวิตโสดมันจะอันตรายขนาดนั้นเลยหรอวะ หึ หึ ก็มันเสือกเกิดขึ้นจริงในสังคมน่ะเส่ะ (รู้จักคนแก่หลายคนอยู่ ที่เวลาอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะรู้สึกไม่สบายใจไปหมด ใส่กลอนประตูบ้านหรือยัง โจรเข้ามาสู้ไม่ไหวนะ ไฟฉายอยู่ไหน เทียนมีหรือยังเผื่อไฟดับ โอย สารพัดจะระแวง) - จริงๆ การมีความรัก มีคู่ครอง มีความสัมพันธ์ นี่มันจำเป็นจริงๆป่ะวะ ซึ่งก็ดันเสือกมีสังคมบางประเทศที่บังคับให้ต้องมีคู่อยู่จริงในปัจจุบัน เอาให้นึกออกไวไว ก็เช่น นโยบายรัฐ ประเภทส่งเสริมการมีบุตรเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรอะไรนั่น แล้วอะไรเป็นหลักฐานการมีคู่วะ เป็นคนรักกันนี่ขึ้นอยู่กับหลักฐานการเอาใจใส่ประเภทไหน แค่การดูแลจิตใจและร่างกายเพียงพอแล้วรึปล่าวที่จะเป็นคนรัก หรือต้องมีหลักฐานการเป็นคู่ครอง อย่างทะเบียนสมรสหรอ ถ้ามีแล้วไม่ดูแลกันก็ถือว่ายังเป็นคนรักป่ะอ่ะ ถามมาถามไปเหมือนการเป็นโสดให้ได้อย่างแข็งแกร่งจะดีกว่ามาก The Lobster ถือกระจกเงาส่องสะท้อนไปที่คนดูจนถึงวินาทีสุดท้าย บทสรุปที่เราได้กับตัวเอง คือ เราต่างโหยหาใครอีกคน เพียงเพื่อขับไล่ความกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว มากไปหรือเปล่า เราตกหลุมพรางของความหวาดกลัวการไร้พวกพ้องและคนข้างกาย จนยอมแรกความสุข และสิ่งต่างๆของชีวิต ไปด้วยใช่หรือไม่ ที่แท้แล้วหากเราเผชิญหน้าและยอมรับความจริง ตัวเลือกย่อมไม่ได้ถูกจำกัดแค่เท่าในภาพยนต์ จะโสดเหงาไปอีก 45 ปี หรือออกไปไฟท์กับความรัก ก็เลือกมีความสุขด้วยตัวเองได้สิวะ อย่าลืม ปล.1 : ปีนี้ได้ดูหนังที่ตัวเอกประกอบอาชีพหลากหลายมาก ทั้ง สายลับติดยา ,นักพฤกษศาสตร์ที่เป็นมนุษย์อวกาศ ,นักการตลาดที่เป็นพ่อบ้าน full time และเรื่องนี้ ที่พ่อ David แกเป็นสถาปนิก แถมโสดด้วย ปล.2 : อีเดวิดนี่แพรวพราวมากนะ จับคาแรคเตอร์คนเก่งโคตร เข้าไปจีบใครก็เข้าท่อนฮุคเลย ปล.3 : มีคู่ไม่เท่ากับสุข และอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ทุกข์เสมอไปนะครัช ปล.4 : “หันหัวไปทางซ้าย สามที”

30.10.15

นิชากร

บ่ายสามของพรุ่งนี้เมื่อ 6 ปีก่อน (วันเวลาจริงๆผ่านไปไวกว่าโกหกเสมอ) บรรยากาศของวันนั้นพากันเลือนหายไปชนิดที่ตั้งใจจะคว้าไว้ก็เจอแต่ลม ที่จำวันนี้ได้แม่นกว่าวันอื่นหน่อยนึงเพราะมันเป็นวันถัดจากวันเกิดแก เราฉลองกันเล็กๆที่เมเจอร์รังสิตด้วยหนังผีตามรสนิยมของเราทั้งคู่ (ถึงฉันจะยืนยันมาแล้วหลายต่อหลายหนว่าไม่ถูกจริตกับหนังแนวนี้เลยสักนิดเดียวก็ตามที) และ "มหาลัยสยองขวัญ" ได้รับเกียรตินั้น ที่หนังสนุกเพราะเราทั้งคู่ชอบนักแสดงเป็นการส่วนตัว "จ๊ะ The mousses" แต่ความน่ากลัวอยู่ในระดับเฉยๆ ถ้าจะหลอกสาวไปใกล้ชิดคงได้แค่กุมมือ ฉันจำวันเกิดของแกได้ทุกปี แต่กลับจำวันนี้ได้แม่นกว่า

เดี๋ยวนี้ฉันกลายเป็นขาประจำหนังผีไปแล้วแกคงไม่รู้สินะ (ก็เพราะแกนั่นล่ะ)

เดี๋ยวนี้ฉันกลัวความสูงน้อยลงและเริ่มคุ้นเคยกลับเครื่องเล่นหวาดเสียวสารพัดแล้วล่ะ

เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเรียก "ไอ้พี่ตุน" แล้วเหงาหูชะมัด

เดี๋ยวนี้แกสบายดีมั้ย อ้วนเหมือนขึ้นป่ะวะ หน้าบานกว่าเดิมมั้ย ชอบรูปดาวเหมือนเดิมมั้ย ปีนี้ได้ไดอารี่เป็นของขวัญจากคนนั้นหรือยัง บังคับใครถอนเต่าหรือป่าว

เดี๋ยวนี้แกเป็นไงบ้างฉันไม่รู้เลยจริงๆ ถึงฉันจะไม่ใช่ผู้มีคาถาอาคมอะไร แต่ฉันจะแช่งให้แกมีความสุขเดี๋ยวนี้

สุขสันต์วันเกิด...เดี๋ยวนี้

#แด่ผู้สร้างความสุขให้ตนเองได้